เป็นแบรนด์เสื้อผ้าวัยรุ่นกลุ่ม Fast Fashion จากฟิลิปปินส์ในชื่อ Penshoppe ที่มีการเติบโตอย่างมากในประเทศเพื่อนบ้านของไทย ล่าสุดได้ตัดสินใจมาเปิดสาขาอย่างเป็นทางการแล้วที่เซ็นทรัล เวสต์เกต โดยเน้นในด้านสินค้าคุณภาพควบคู่กับกลยุทธ์ด้านราคา หวังตีตลาดทั้งในส่วนของออนไลน์และออฟไลน์ และมีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 4 – 5 สาขาภายในสิ้นปีนี้ด้วย
โดยที่ผ่านมา ต้องบอกว่า แบรนด์ Penshoppe มีการเปิดสาขาในประเทศเพื่อนบ้านของไทยโดยรอบแล้วกว่า 700 สาขา ไม่ว่าจะเป็นที่ฟิลิปปินส์ประเทศบ้านเกิด อินโดนีเซีย กัมพูชา เมียนมาร์ เวียดนาม ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบาร์เรน รวมถึงประเทศที่ขายบนมาร์เก็ตเพลส ยกตัวอย่างเช่น อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง และไต้หวัน
ขณะที่ประเทศที่แบรนด์ Penshoppe ตั้งใจจะเปิดร้านสาขาทั้ง Offline และ Online นั้นปัจจุบันมีเพียง 3 ประเทศได้แก่ ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และประเทศไทย (กำลังจะเปิดในเร็ว ๆ นี้) ซึ่งคุณ Jeff Bascon แบรนด์ไดเร็คเตอร์จากบริษัท Golden ABC บริษัทแม่ของ Penshoppe เผยว่า กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์เป็นกลุ่มที่มีอายุระหว่าง 18 – 25 ปี ซึ่งมีทั้งวัยรุ่น – วัยทำงาน
โดยคุณ Jeff เผยอีกด้วยว่า พฤติกรรมการช้อปปิ้งสินค้าหมวด Fast Fashion ของวัยรุ่นไทยและฟิลิปปินส์นั้นมีความคล้ายคลึงกันมาก นั่นคือถึงแม้จะมีร้านค้าปลีกแฟชั่นอยู่ทั่วไป แต่กลุ่มวัยรุ่นทั้งไทยและฟิลิปปินส์ก็มักจะเปรียบเทียบในเรื่องราคาและคุณภาพของสินค้านั้น ๆ กับสินค้าที่วางจำหน่ายภายในห้างสรรพสินค้าก่อนเสมอ ซึ่งปัจจัยในด้านราคามีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้ากลุ่ม Fast Fashion อยู่พอสมควร
อีกประการหนึ่งที่ไม่ต่างกันคือมีการเสิร์ชหาข้อมูลบน Social Media ทางบริษัทจึงได้มีการใช้ Influencer ทั้งในระดับ Global และ Local เพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ซึ่ง Influencer ของแบรนด์ที่ผ่านมาได้แก่ Lucky Blue Smith, Cameron Dallas และ Kaia Gerber
สำหรับสินค้าของแบรนด์ที่วางจำหน่ายในไทยนั้นมีทั้งสิ้น 500 รายการ และจะเป็นการนำเข้าจากประเทศฟิลิปปินส์ทั้งหมด อีกทั้งจะมีการออกคอลเล็คชั่นใหม่อย่างต่อเนื่องประมาณ 5 – 6 คอลเล็คชั่นต่อปี รวมถึงทำคอลเล็คชั่นพิเศษตามเทศกาลต่าง ๆ ของไทยด้วย
ด้านสินค้าที่จะเปิดจำหน่ายบนมาร์เก็ตเพลสนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเลือกมาร์เก็ตเพลสใดบ้าง โดยคุณ Jeff ให้ความเห็นว่า ตลาดสินค้าออนไลน์นั้นเป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วมาก และเป็นตลาดที่บริษัทให้ความสำคัญ อย่างไรก็ดี สัดส่วนยอดขายของออนไลน์และออฟไลน์นั้นยังค่อนข้างต่างกันอย่างชัดเจน โดยออฟไลน์ครองส่วนแบ่งตลาดสูงกว่ามาก ประมาณ 95% ส่วนออนไลน์คิดเป็น 5% ของยอดขายทั้งหมด ทั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทมีร้านสาขากระจายอยู่เป็นจำนวนมากนั่นเอง
ที่ผ่านมา ทางคุณ Jeff มองว่า แบรนด์ของตนเองนั้นสามารถตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้เหนือกว่าคู่แข่ง เช่น การนำเสนอยีนส์คุณภาพดีในราคา 599 บาท เป็นต้น จึงเชื่อว่า ธุรกิจ Penshoppe จะเติบโตต่อเนื่องทุกปีปีละ 20% ตามเป้าหมายที่วางไว้แน่นอน
ด้านคุณสินรันปาล มันจันดา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรินิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่าย Penshoppe ในประเทศไทย ให้ความเห็นว่า ตลาด Fast Fashion ของไทยเป็นตลาดที่ท้าทาย ซึ่งจุดแข็งของแบรนด์คือความหลากหลายด้านการออกแบบ สวมใส่สบายและกลยุทธ์ด้านราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง 20 – 30% ซึ่งเป็นราคาที่ผู้บริโภคจับต้องได้มากกว่า
“ภายในปีนี้ PENSHOPPE จะเปิดสาขาอีกอย่างน้อย 4-5 Store และเราได้วางแผนร่วมกับ เจ้าของพื้นที่อีกหลายโครงการที่จะลุยตลาดในประเทศไทยและจะเปิดสาขาในทุกๆ ปี ปีละประมาณ 8-10 store เรามั่นใจว่าแบรนด์เราสามารถตอบโจทย์ความคุ้มค่าทั้งคุณภาพและราคาที่จับต้องได้ง่ายกว่าถึง 20-30% และยังไม่มี Brand ชั้นนำแบรนด์ใด สามารถนำกางเกงยีนส์คุณภาพดีเสนอให้ลูกค้าได้ในราคาเริ่มต้นที่ 599 บาทได้
นอกจากกลยุทธ์ด้านราคาที่เรานำมาตีตลาดในเมืองไทยแล้ว เรายังคำนึงและใส่ใจเกี่ยวกับสไตล์รวมทั้งคุณภาพที่ต้องดีควบคู่กันไปด้วยเราจึงเชื่อว่าธุรกิจเสื้อผ้า PENSHOPPE จะเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปีปีละ 20% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน”
ทั้งนี้ Penshoppe ก่อตั้งโดยนาย Berni