รายงาน Fjord Trends 2022 เผยผลสำรวจพฤติกรรมมนุษย์ที่จะส่งผลต่อวัฒนธรรม สังคม และธุรกิจในปีนี้ ชี้ให้เห็นว่า ระยะเวลาเกือบสองปีที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ไปถึงระดับโครงสร้าง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับงาน วัฒนธรรมการบริโภค เทคโนโลยี และโลกใบนี้ ก็เปลี่ยนตามกันไปหมด บริษัทหรือองค์กรต่างๆ จึงต้องปรับตัวและออกแบบแนวการทำธุรกิจรูปแบบใหม่
ทั้งนี้ เทรนด์กล่าวถึงพฤติกรรมใหม่ที่จะเป็นปัจจัยท้าทายสำหรับธุรกิจ ซึ่งจะสร้างผลกระทบทำให้ธุรกิจต้องคิดทบทวนแนวทางการออกแบบ การสร้างนวัตกรรม และการเติบโต เนื่องจากพนักงานมีความคาดหวัง แนวคิด และมุมมองที่เปลี่ยนไป ประกอบกับสภาวะการขาดแคลนในด้านต่างๆ อันเนื่องมาจากการหยุดชะงักของซัพพลายเชน และการเกิดขึ้นของสภาพแวดล้อมในโลกเสมือนจริงที่เกิดขึ้นใหม่อย่างเมตาเวิร์ส
“เราไม่ควรมองข้ามเรื่องระดับของความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปอย่างที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ หรือบทบาทของธุรกิจที่ต้องปรับตัวตาม” นายดาวิน สมานนท์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานบริการทางการเงิน เอคเซนเชอร์ ประเทศไทย กล่าว “การตัดสินใจต่างๆ ของธุรกิจที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ อาจจะส่งผลต่อโลกของเราและโครงสร้างในหลายด้านมากเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ และทุกสิ่งจะมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือเรื่องความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปของคน ไม่ว่าจะกับเพื่อนร่วมงาน แบรนด์ สังคม สถานที่ และสิ่งต่างๆ ที่คนให้ความสำคัญ ดังนั้น อนาคตที่กำลังมาถึงจะเป็นช่วงเวลาที่ท้าทาย ขณะเดียวกันก็ยังมีโอกาสที่ดีอีกมากให้ธุรกิจสานสายสัมพันธ์ในด้านต่างๆ เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิตที่ดี ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้คน สังคม และโลกใบนี้ต่อไป”
รายงาน Fjord Trends 2022 คาดการณ์กระแสพฤติกรรมมนุษย์และ 5 เทรนด์หลักที่จะส่งผลต่อสังคม วัฒนธรรม และธุรกิจ
1. เป็นอย่างที่ตัวเองเป็น (Come as you are)
การที่ผู้คนรู้สึกสามารถควบคุมชีวิตตัวเอง (sense of agency) ได้มากขึ้นในช่วงสองปีที่โควิดแพร่ระบาดนั้น ส่งผลกระทบต่อวิธีการทำงาน การมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและการบริโภคทั้งสิ้น นอกจากนั้น ผู้คนก็เริ่มตั้งคำถามถึงความสำนึกถึงตัวตน สิ่งที่สำคัญกับชีวิตและความเป็นปัจเจกนิยมมากขึ้นด้วยมุมมอง “me over we” ซึ่งสำคัญต่อองค์กรในแง่ของการบริหารและจูงใจพนักงาน ซึ่งรวมถึงการเสริมสร้างค่านิยมให้แก่พนักงานใหม่ และแนวทางการสานสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับลูกค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
2. หมดยุคเหลือเฟือ? (The end of abundance thinking?)
ในช่วงปีที่ผ่านมา หลายคนต้องเผชิญกับสภาพชั้นสินค้าว่างเปล่า บิลค่าไฟเพิ่ม อีกทั้งบริการที่เคยใช้ในแต่ละวันก็ขาดหายไป ด้านการขาดแคลนของปัจจัยหลายๆ อย่าง แม้จะเป็นปัญหาระยะสั้นชั่วคราว แต่จะส่งผลที่ต่อเนื่อง นำไปสู่การเปลี่ยนแนวคิด จากการ “คิดเผื่อ” ที่อยู่บนฐานของการที่ทุกอย่างมีให้ใช้อย่างเหลือเฟือ สะดวก และรวดเร็ว เปลี่ยนไปเป็นถึงความตระหนักเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งธุรกิจต้องรับมือกับความกังวลถึงปัจจัยต่างๆ ว่าจะมีพอหรือไม่อย่างที่หลายคนประสบทั่วโลก
3. พรมแดนใหม่ (The next frontier)
การแตกตัวทางวัฒนธรรมขนานใหญ่นั้นกำลังรอเวลาที่จะเกิดขึ้น เมตาเวิร์สจะกลายเป็นพรมแดนใหม่ของอินเทอร์เน็ตที่หลอมรวมเลเยอร์ต่างๆ ของข้อมูล อินเทอร์เฟซ และพื้นที่ที่ผู้คนสื่อสารหรือมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันเข้าไว้ด้วยกัน ขณะเดียวกันก็จะกลายเป็นพื้นที่ใหม่ในการสร้างรายได้ การสร้างงานในรูปแบบใหม่ และการสร้างโอกาสที่ไม่สิ้นสุดให้กับแบรนด์ด้วย เพราะผู้คนคาดหวังให้ธุรกิจสร้างสรรค์และนำพาพวกเขาไปสู่สิ่งใหม่ ซึ่งโลกจะไม่หยุดที่หน้าจอและหูฟังเท่านั้น แต่ยังเปิดประตูไปสู่ประสบการณ์และสถานที่ต่างๆ ในโลกจริงที่มีปฏิสัมพันธ์กับโลกดิจิทัลได้อีกด้วย
4. ตอบเร็ว ตอบจริง (This much is true)
ทุกวันนี้ ผู้คนคาดหวังที่จะได้รับคำตอบต่างๆ จากการกดปุ่มแค่ครั้งเดียวหรือสั่งงานด้วยเสียงผ่านระบบ voice assistant ด้วยวิธีการที่แสนง่ายและได้คำตอบในทันที หมายความว่าผู้คนจะซักถามมากขึ้น ซึ่งสำหรับแบรนด์สินค้าแล้ว หมายถึงขอบเขตของคำถามจากลูกค้าและช่องทางการสอบถาม ก็จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การออกแบบวิธีการตอบคำถามจึงเป็นความท้าทาย และเป็นส่วนสำคัญในการทำให้เกิดความเชื่อมั่นที่พร้อมเสริมสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในอนาคตด้วย
5. ใส่ใจมากขึ้น (Handle with care)
การดูแลใส่ใจทุกด้านเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างเด่นชัดในปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการดูแลตัวเอง ดูแลผู้อื่น การบริการดูแลสุขภาพ และช่องทางที่ให้บริการทั้งทางดิจิทัลและโลกออฟไลน์ สภาวะเช่นนี้ เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับนายจ้างและแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรที่เชี่ยวชาญทางการแพทย์หรือการดูแลสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ความรับผิดชอบในการดูแลตนเองและผู้อื่นจะยังคงเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ในชีวิต นักออกแบบและองค์กรธุรกิจจึงต้องคำนึงเหมือนกันว่าจะการสร้างพื้นที่สำหรับฝึกการดูแลเรื่องต่างๆ ในภาคปฏิบัติได้อย่างไร