งาน Focal M ที่เพิ่งผ่านพ้นไปมีคนในวงการโฆษณามากมายมาร่วมให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเทรนด์โฆษณาไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ โฆษณาออนไลน์ยังรุ่งต่อเนื่อง แม้กระแสบอยคอต Facebook จากคนดังยังมีต่อเนื่อง แต่ไม่ได้กระทบกับในไทย เพราะผู้ใช้งานยังคงใช้งานกันตามปกติ
คุณศิวัตร เชาวรียวงษ์ และคุณนิคลาส สตอลเบิร์ก ประธานกรรมการบริหาร กรุ๊ปเอ็ม (ประเทศไทย) สรุปภาพรวมการใช้สื่อโฆษณาดิจิทัลของคนไทยและแบรนด์ตลอดปี 2560 พบว่า สมัยก่อนใช้สื่อโฆษณาดิจิทัลเพียง 1% ผ่านมา 8 ปี โตขึ้นมาต่อเนื่องจนค่าเฉลี่ยของไทยคาดว่าจะอยู่ที่ 14% แต่ก็เป็นการโตแบบต่อเนื่องไม่ใช่ก้าวกระโดด
ตัวเลขสรุปภาพรวมจาก DAAT ที่บอกว่า ช่วงปลายปีที่ผ่านมา จะมีการเม็ดเงินเพิ่มขึ้นจากกลุ่มธนาคาร ทำให้ปี 2017 ปิดที่ 12,402 ล้านบาท มาจาก 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มยานยนต์ 1,289 ล้านบาท โทรคมนาคม 1,195 ล้านบาทและสถาบันการเงิน 847 ล้านบาท
ด้านปี 2018 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 16% หรือ 14,330 ล้านบาท มาจาก 3 กลุ่มหลักเช่นเดิม คือ ยานยนต์ 1,473 ล้านบาท โทรคมนาคม 1,294 ล้านบาท และสถาบันการเงิน 1,076 ล้านบาท จากทิศทางการใช้สื่อดิจิทัลเยอะขึ้นเรื่อยๆ มาจากพฤติกรรมของคนในประเทศท่ีใช้สื่อออนไลน์เพิ่มขึ้น ทำให้หลายแบรนด์ที่เคยลังเลว่าจะ “เจียด” งบบางส่วนมาที่สื่อออนไลน์ จะเปลี่ยนมาเป็นทุ่มงบจากสื่อเดิมมาเป็นออนไลน์ เรียกว่าปรับโมเดลใหม่กันเลย ทำให้การ Spending ขยับอย่างน่าสนใจ
อีกกลุ่มที่น่าจะโตคือ Skincare ที่มาจากการขยับเงินจากสื่อเดิมเข้ามา ส่วนอุตสาหกรรมอื่นๆ ก็มีลักษณะคล้ายเดิม แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือการใช้งบในสื่อออนไลน์จะครอบคลุมทุกหมวดหมู่ และปีหน้า สถาบันการเงินและสกินแคร์น่าจะยังโตอยู่ แต่จะไม่นับรวมแบรนด์ที่ทำตลาดเอง หรือไปใช้งบในกลุ่ม Influencer เอง โดยไม่ผ่าน Agency ทำให้ไม่มีตัวเลขส่วนนี้ว่าทิศทางเป็นอย่างไร
“ผมพยายามเป็นพันธมิตรที่ดีกับ Facebook Display และ Google ด้วยการให้เขาช่วยเช็คดูว่าตัวเลขการใช้จ่ายในช่องทางโซเชียลมีเดียเป็นตามที่เราเก็บหรือไม่ เขาไม่ได้ให้ตัวเลขที่ชัดเจนแก่ผมบอกแค่ว่า เม็ดเงินเยอะกว่านี้มาก”
ชี้ให้เห็นว่า SME บ้านเราที่เป็นฐานหลักของภาพธุรกิจ หันมาใช้จ่ายผ่านออนไลน์เยอะ แม้เม็ดเงินจะไม่เยอะเท่ากับองค์กรใหญ่ก็ตาม แต่ก็รู้จักใช้เงินซื้อสื่อที่ตรงกับ STP (STP Strategy – กลยุทธ์ในการเลือกกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย Segmentation, Targeting, Positioning) ของตัวเองมากขึ้น โดยเน้นหนักไปที่การใช้ targeting สูง จึงเลือกใช้ facebook และ google ที่เจาะจงได้ ทำให้เม็ดเงินท่ีเห็นว่าเยอะนั้น ไม่ได้มาจากธุรกิจใหญ่อย่างเดียวส่วนหนึ่งมาจาก SME ด้วย
รวมทั้งปีนี้แบรนด์จะใช้ Social media และ Influencer ทำให้เงิน shift มาฝั่งนี้มากขึ้น เพราะคนเหล่านี้มี Power มากขึ้น เข้าถึงการซื้อของลูกค้าได้มากขึ้น โดยเฉพาะ Influencer มีโอกาสโตไปอีก ก็หวังว่าแบรนด์จะใช้งานคนกลุ่มนี้ผ่าน Agency เพื่อที่ปีหน้าทางสมาคมฯ จะได้เก็บข้อมูลส่วนนี้เพิ่มเติมได้
และสุดท้ายปัญหาที่คนในวงการโฆษณากำลังประสบคือ การหาคนที่มี talent มาทำงานเพื่อให้มาตรฐานและการทำงานในวงการสื่อโฆษณาดีขึ้นกว่าเดิม พบว่ายิ่งทางสมาคมฯ พยายามที่จะเทรนนิ่ง สิ่งที่เจอคือ Demand ของ talent สูงขึ้น
ปีนี้สมาคมฯ ก็เลยคุม output โดยจะออกข้อสอบวัดความสามารถ แบบไม่มีผ่านหรือตก เพื่อดูว่าทำข้อสอบได้กี่คะแนน มีความสามารถอยู่ที่เท่าไหร่ และอยู่ที่ว่าบริษัทใดจะนำไปประยุกต์ใช้ในการวัดมาตรฐานอย่างไรก็ได้ เช่น บางองค์กรอาจจะวัดความสามารถของพนักงานโดยนำคะแนนที่ได้จาก Daat มาใช้เป็นส่วนประกอบหนึ่ง ในการพิจารณาความสามารถ เพื่อว่าจะมีสถาบันต่างๆ ออกมาเทรนให้คนเหล่านี้มีความสามารถมากขึ้น ทำให้ยกคุณภาพของคนในวงการโฆษณาดีขึ้นกว่าเดิม และผลิตบุคลากรน้ำดีได้มากขึ้นด้วย