รายได้จากการโฆษณาของ Google เพิ่มขึ้น 69% เมื่อเทียบกับภาพรวมรายได้ในไตรมาสที่ 2 ที่ทำได้ 50.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยบริษัท Alphabet บริษัทแม่ของกูเกิลได้ระบุในแถลงการณ์ผลประกอบการเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยรายได้จากการโฆษณาบน YouTube ทำเม็ดเงินรายได้ถึง 7,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้น 84% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา บริการอื่นๆ ก็เพิ่มขึ้น 68% หรือ 35.8 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบแบบปีต่อปี
Philipp Schindler ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจค้าปลีก ระบุว่า การเติบโตของ Google Ads มีตัวเลขที่ดีมาก ดูเหมือนว่าความนิยมของคอนเทนต์ประเภทวิดีโอจะมาแรงมาก โดย YouTube Shorts ซึ่งมีลักษณะคล้าย TikTok จะมียอดการรับชมสูงถึง 15 พันล้านครั้งต่อวัน ตามข้อมูลที่ Sundar Pichai หัวหน้าของ Google เคยให้ข้อมูลไว้
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการไตรมาส 2 ที่พุ่งสูงขึ้นของบริษัท Alphabet เรียกได้ว่ามีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทาง Google ระบุว่า รายรับในช่วงแรกลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับในช่วง 30 ปี จากนั้นก็มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของผู้ลงโฆษณา หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในช่วงแรก
นอกจากนี้ คอนเทนต์ประเภทท่องเที่ยว สื่อและบันเทิง ก็ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการล็อกดาวน์และตอนนี้ก็เริ่มดึงดูดให้ผู้เข้าชมกลับมาสนใจอีกครั้ง จนกลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ Google Ads เติบโตในไตรมาสที่ 2
ทั้งนี้ Google เอง ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและกลยุทธ์ทางธุรกิจนรูปแบบที่ผู้ผลิตคอนเทนต์ได้รับผลตอบแทนที่ชัดเจน เช่น การลงทุนเพิ่มขึ้นในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น การเปิดให้สินค้าต่าง ๆ ขายสินค้าได้ฟรีโดยไม่เก็บค่าธรรมเนียม เพื่อดึงดูดธุรกิจจากคู่แข่งอย่าง Amazon เข้ามาใช้งานแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของ Google มากขึ้น นอกจากนี้ยังร่วมมือกับพาร์ทเนอร์หน้าใหม่อย่าง Shopify, WooCommerce, GoDaddy และ Square เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าปลีกยังคงสร้างโอกาสใหม่ๆ บนช่องทางดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับช่องทางการขายแบบเก่า (ออฟไลน์) ซึ่งวิธีการขายทั้งสองช่องทางนี้ จะเป็นการสร้างโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั่วโลกได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน
รวมทั้ง YouTube ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กระแสอีคอมเมิร์ซเติบโต โดย Google เชื่อมโยงความสนใจของผู้บริโภคเข้ากับคอนเทนต์วิดีโอทำให้เราได้เห็นรูปแบบการขายผ่านครีเอเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วบนฟีเจอร์ใหม่ที่ดึงดูดผู้ชมหน้าใหม่ๆ มากขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ YouTube Shorts ถือว่าเป็นอีกหนึ่งลูกเล่นที่สำคัญและกลายมาเป็นคู่แข่งของ TikTok หลังจากเปิดให้บริการในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก แม้จะยังไม่เห็นรูปแบบการทำโฆษณาที่ชัดเจนสำหรับฟีเจอร์ใหม่นี้ แต่หลังจากที่เราเห็นการเติบโตของ Spotlight ฟีเจอร์หนึ่งของ Google ที่มีผู้ใช้งานรายวันเพิ่มขึ้น 49% ในไตรมาสที่ 2 และมีการอัพเดทคอนเทนต์เข้าไปในระบบ YouTube เพิ่มขึ้นกว่าสามเท่า
การทดลองฟีเจอร์และโอกาสใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องของ Google ทำให้พวกเข้าได้รับโอกาสใหม่ๆ จากปัญหาการหยุดชะงักทางธุรกิจและความกังวลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งทางแพลตฟอร์มเองก็จำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อการตรวจสอบของกฏระเบียบที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน รวมถึงปัญหาการฟ้องร้องในหลายเรื่องเกี่ยวกับการผูกขาดหลายคดี