Site icon Thumbsup

สงครามบริการค้นหาสินค้าเพื่อการช็อปปิ้งระหว่าง Google และ Amazon ระอุ!

MK-CI736_GOOGAM_G_20131219190048

เป็นที่รู้กันชัดเจนว่าในช่วงเวลาที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคของการซื้อของออนไลน์ เม็ดเงินจำนวนมหาศาลกำลังเริ่มเทลงมาสู่ช่องทางนี้อย่างหยุดไม่อยู่ ดังนั้นการที่ผู้ให้บริการใดก็ตามสามารถที่จะยึดหัวหาดตั้งแต่ขั้นตอนแรกซึ่งก็คือการ”ค้นหา”ได้ ผู้นั้นย่อมได้เปรียบในมหาสงครามที่จะเกิดขึ้นนี้ และวันนี้ดูเหมือนว่าสงครามที่ว่านี้จะกลายเป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่ที่เราคุ้นหูกันดี นั่นคือ Google กับ Amazon นั่นเอง

การต่อสู้ระหว่างหมายเลขหนึ่งแห่งบริการค้นหาในนาม Google กับหมายเลขหนึ่งของแวดวงเว็บขายสินค้าออนไลน์ในนาม Amazon เกิดขึ้นเมื่อทั้ง 2 ต้องการเป็นจุดแรกที่ผู้ที่ต้องการซื้อของออนไลน์จะเข้ามาใช้บริการค้นหาข้อมูล โดยในปีที่ผ่านมา Google ได้ปรับกลยุทธ์โดยการเปิดกว้างให้ร้านค้าสามารถที่จะโพสต์รูปสินค้า รายละเอียดสินค้าและราคาได้ในตำแหน่งบนสุดของผลการค้นหา ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ซื้อพิมพ์หาข้อมูลสินค้า “เตาไมโครเวฟ” ผลการค้นหาจะแสดงรูปเตาไมโครเวฟพร้อมชื่อรุ่นที่จำหน่ายโดยร้านชั้นนำอย่าง Macy’s และ Target (สำหรับในสหรัฐอเมริกา) พร้อมด้วยราคาแสดงอย่างชัดเจน ซึ่งรูปแบบของผลการค้นหานี้ถือว่าแตกต่างจากรูปแบบเดิมที่ Google จะแสดงผลการค้นหาด้วยตัวหนังสือเท่านั้น

ตัวอย่างผลการค้นหาสินค้าด้วยคำว่า “tents” และผลลัพธ์ที่ได้พร้อมรายละเอียด (ภาพประกอบจาก seo4anyone.com)

ในลักษณะของการค้นหาแบบนี้ ถือเป็นกรณีที่ลูกค้าทราบว่าตัวเองกำลังมองหาสินค้าประเภทไหน รูปแบบการโฆษณาดังกล่าวเรียกว่า “Product-listing Ads” จะช่วยลดขั้นตอนในการค้นหาก่อนที่ลูกค้าจะกดซื้อสินค้า ซึ่งมีผลให้ลูกค้ามีการกดดูที่โฆษณาเพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 34% นอกจากนั้นผลที่ผ่านมายังระบุว่าบริการรูปแบบนี้ดึงดูดผู้โฆษณาและช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะร้านค้ายักษ์ใหญ่อย่าง Walmart และ eBay

ตลาดอีคอมเมิร์ซในสหรัฐอเมริกาจะมีการเติบโตขึ้นถึง 14% สู่มูลค่ารวม 210,000 ล้านเหรียญ หรือกว่า 6.7 ล้านล้านบาทในปีนี้ และแม้ว่าใครจะมองว่า Amazon และ Google ทำธุรกิจต่างอุตสาหกรรมกัน แต่ความเป็นจริงแล้วทั้ง 2 บริษัทได้แข่งกันอย่างเข้มข้นในการเป็นช่องทางอันดับหนึ่งที่ผู้บริโภคเข้ามาค้นหาข้อมูลสินค้าที่ต้องการซื้อออนไลน์ ซึ่งในช่วงหลัง Amazon สามารถดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการได้อย่างต่อเนื่องทำให้ความนิยมในการใช้บริการค้นหา Google ลดลงไป

ChannelAdvisor บริษัทที่ปรึกษาทางด้านอีคอมเมิร์ซระบุว่า ยอดขายผ่านช่องทาง Amazon ของร้านค้าต่างๆ เพิ่มขึ้นถึง 25% ในไตรมาสที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่ช่องทางการค้นหาของ Google ช่วยเพิ่มยอดขายเพียง 1% เท่านั้น นอกจากนั้นเมื่อดูช่องทางโทรศัพท์มือถือแล้ว Amazon ยังได้เปรียบเนื่องจากการที่มีข้อมูลลูกค้าทำให้กระบวนการซื้อรวดเร็วกว่าช่องทางของ search engine ที่ต้องเข้ามากรอกข้อมูลใหม่

ภาพประกอบจาก Wapple

ความเห็นผู้แปล

สงครามระหว่าง Google และ Amazon ในวันนี้ยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้นและถือเป็นความท้าทายของทั้ง 2 ฝั่งเพราะชัยชนะในการเป็นจุดแรกของขั้นตอนการซื้อของออนไลน์ถือเป็นหัวใจของความสำเร็จในการนำไปสู่การซื้อสินค้าออนไลน์ ซึ่งก็มีผลโดยตรงกับการตัดสินใจลงโฆษณาด้วยเช่นกัน Amazon ได้เปรียบในฐานะที่เป็นแหล่งรวมร้านค้าเองทำให้มีระบบที่รองรับการเก็บข้อมูลของผู้ซื้อ นอกจากนั้นด้วยความเป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายสินค้าโดยตรงทำให้มีพันธมิตรยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนอีกแรง ในขณะที่ Google มีเพียงบริการค้นหา ไม่ได้มีแพลตฟอร์มรองรับการซื้อขายสินค้าโดยตรง ดังนั้นความแข่งแกร่งจึงต้องมาจากรูปแบบของบริการที่สามารถนำเสนอความหลากหลาย ความรวดเร็ว รวมถึงความสามารถในการวิเคราะห์และตอบสนองความต้องการอื่นๆ นอกเหนือจากการซื้อสินค้าเป็นตัวช่วยผลักดัน ซึ่งถ้า Google สามารถเข้าใจพฤติกรรมอื่นๆ ของผู้บริโภคได้ การนำเสนอบริการที่แม่นยำและหลากหลายขึ้นน่าจะช่วยให้ Google สามารถแข่งในสมรภูมินี้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อมากขึ้น

ที่มา: The Wall Street Journal