บริการเรียกรถยนต์เพื่อมารับส่งคนเราคงคุ้นเคยกันในรูปแบบของแท็กซี่ ซึ่งปัจจุบันนี้มีหลายเจ้าให้ได้เรียกใช้งานกันทั้งผ่านทางโทรศัพท์หรือจะผ่านทางแอปพลิเคชันก็ตาม แต่บริการที่พูดมาเมื่อสักครู่จะกลายเป็นเรื่องเด็กๆ ไปเลยในอนาคต เพราะ Google ได้จดสิทธิบัตรเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์นี้แล้ว โดยผูกเข้ากับธุรกิจของตัวเองนั่นคือโฆษณา
สิทธิบัตรที่ทาง Google จดไปคือการที่จะให้บริการรถรับส่งผู้โดยสารที่ต้องการซื้อของไปยังร้านที่ต้องการผ่านการคลิกโฆษณาที่มีคำว่า Get Me There ที่อยู่ด้านข้างของโฆษณา โดยเมื่อคลิกแล้วก็จะพาผู้โดยสารไปยังร้านค้าจริงเพื่อซื้อสินค้าทันที (ใช้ในนิยามว่า Brick and Mortar คือการนำไปสู่หน้าร้านจริง)
และอย่างที่เรารู้กันก่อนหน้านี้ว่า Google ได้เริ่มพัฒนารถยนต์ไร้คนขับมาได้สักพักแล้ว สิทธิบัตรฉบับนี้ของ Google ก็จะครอบคลุมการใช้งานร่วมกับรถยนต์ที่กำลังพัฒนานี้ด้วยเช่นกัน โดยจะมีอัลกอริทึ่มที่จะคำนวณและเปรียบเทียบค่าโดยสารกับกำไรที่น่าจะเกิดขึ้นจากการซื้อสินค้าของผู้โดยสารที่จะไปถึงแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ได้ทราบว่ามีรายได้หรือกำไรเกิดขึ้นจริงหลังจากที่ใช้บริการ Get Me There แล้ว โดยการคำนวณค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจะใช้หลายปัจจัยในการคิด เช่น ตำแหน่งของผู้ใช้บริการปัจจุบัน, รูปแบบการเดินทาง, ชีวิตประจำวันของผู้ใช้งาน (น่าจะมาจาก Google Now), ราคาการประมูลโฆษณาของผู้ลงโฆษณา และอื่นๆ
ในข่าวไม่ได้มีการบอกไว้ว่าลักษณะการคลิกจะเป็นอย่างไร แต่เข้าใจว่าในรถจะมีหน้าจอให้เลือก หรืออาจใช้การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ตแล้วเข้าสู่หน้าจอเพื่อเลือกโฆษณาโดยเฉพาะ
ปัญหาเล็กๆ ที่น่าจะเกิดขึ้นแบบง่ายๆ เลยก็คืออาจมีคนลักไก่คลิกโฆษณาแต่ไม่เข้าร้าน ซึ่งวิธีทางแก้อาจจะง่ายๆ ก็คือการใช้ Google Account ผูกบัญชีก่อนใช้งาน แล้วทำการหักเงินไว้ล่วงหน้าและเมื่อมีการเข้าร้านจริงและซื้อสินค้าจริง คนที่โดยสารรถมาก็จะได้รับเงินขึ้นเข้า ซึ่งก็วนๆ อยู่ในบริการของ Google เองอยู่ดี (Google Wallets)
แม้บริการนี้จะยังไม่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้ แต่เชื่อได้ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าน่าจะมีให้บริการเกิดขึ้นจริง เพราะอย่าลืมว่าข้อมูลแทบจะทุกอย่าง Google คือเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นโฆษณา, ข้อมูลแผนที่+การจราจรทั้งหลาย, กระเป๋าเงินอิเลคโทรนิค หรือแม้กระทั่งตัวรถยนต์เองก็ยังเป็นของ Google อยู่ดี
และประเทศแรกที่น่าจะได้ใช้ก็คงต้องเป็นสหรัฐฯ แน่ๆ ส่วนประเทศไทยนั้นดูทีท่าแล้วน่าจะยาก ยากมาก และยากที่สุดที่จะได้เห็นและใช้ครับ
ที่มา: Venture Beat