Site icon Thumbsup

Google วางแผนสร้างระบบ “ad-tracking” ใหม่ท้าชนระบบ “cookies”

googlw

น่าสนใจมากเมื่อยักษ์ใหญ่เสิร์ชเอนจิ้นออนไลน์อย่าง Google ประกาศแผนเปิดตัวระบบติดตามข้อมูลเพื่อการโฆษณาหรือ ad-tracking technology ของตัวเองเพื่อใช้งานแทนระบบคุ้กกี้ (cookies) ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เชื่อระบบใหม่ของ Google จะทำให้นักท่องเน็ตมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น แถมยังทำให้กระบวนการดึงข้อมูลส่วนตัวของบริษัทโฆษณาเป็นไปอย่างโปร่งใส

นอกจากความโปร่งใสและความเป็นส่วนตัวที่ Google เชื่อว่าระบบเก็บข้อมูล ad tracking ใหม่จะเหนือกว่าระบบคุ้กกี้ดั้งเดิม นักวิเคราะห์ยังประเมินว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ Google จะทำให้ยักษ์ใหญ่เสิร์ชเอนจิ้นสามารถเสริมบารมีในตลาดโฆษณาออนไลน์ให้แข็งแกร่งกว่าเดิม

คุ้กกี้หรือ Cookies นั้นเป็นระบบที่ถูกถกเถียงกันมากในยุโรป เนื่องจากผู้ประกอบการเว็บไซต์จะถูกบังคับให้เปิดเผยรูปแบบการใช้งานข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ เพื่อให้นักท่องเว็บได้มีโอกาสพิจารณาว่าจะอนุญาตให้มีการเก็บคุ้กกี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม วันนี้คุ้กกี้ก็ยังถือเป็นเป็นปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้ในวงการโฆษณาออนไลน์ โดยเฉพาะในแง่ของการเป็นเครื่องมือวัดผลเพื่อการลงทุนซื้อโฆษณาออนไลน์

แต่วันนี้ Google กำลังวางแผนปฏิวัติวงการคุ้กกี้ หรืออย่างน้อยก็เสนอทางเลือกอื่นที่ Google พัฒนาขึ้นเองจากที่นักโฆษณาจะต้องพึ่งพา third-party cookies เพียงอย่างเดียวตลอดมา

รายงานจากสำนักข่าว USA Today ระบุว่าระบบใหม่ของ Google จะเปิดกว้างสำหรับบริษัทและเครือข่ายโฆษณาที่ยอมทำสัญญามาตรฐานโฆษณากับ Google เท่านั้น โดยหลักการของระบบเก็บข้อมูลเพื่อการโฆษณาของ Google จะเน้นที่การเปิดพื้นที่ศูนย์กลางให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าและระบุขอบเขตการเปิดกว้างข้อมูลส่วนตัวเพื่อการโฆษณาได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นไปตามทิศทางบริการที่ Google มักเสนอจุดยืนมาตลอด

แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลของโครงการนี้อย่างเป็นทางการ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นได้รับความสนใจจากนักสังเกตการณ์อย่างมาก เนื่องจากที่ผ่านมา Google เป็นบริษัทที่มีอิทธิพลต่อโลกโฆษณาออนไลน์เพราะการครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 1 ใน 3 ของตลาดที่มีมูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

ที่สำคัญ ตลาดโฆษณาบนอุปกรณ์พกพาหรือ mobile ad ก็คาดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วย เนื่องจาก Google สามารถครองส่วนแบ่งในตลาดนี้มากกว่า 56% นอกจากนี้ Google ถูกมองว่าจะสามารถปฏิวัติคุ้กกี้ได้สำเร็จเพราะตลาดเว็บเบราว์เซอร์ที่ Google ครองอยู่มากกว่า 50% ทั้งหมดนี้ทำให้เราควรจับตามองความเคลื่อนไหวเรื่องนี้ของ Google ให้ดี

ที่มา: VentureBeat