15 ก.พ. 2018 คือวันที่การบล็อกโฆษณาได้มาถึง Google Chrome หลังจากมีรายงานล่วงหน้ามาก่อนนั้นหลายเดือน แต่รายงานฉบับใหม่จาก The Wall Street Journal ชี้ให้เห็นว่าความเคลื่อนไหวนี้อาจเพิ่มกำไรให้บริษัท Alphabet ต้นสังกัด Google มากกว่าการยกระดับการใช้งานของชาวออนไลน์ ตามที่ Google พยายามย้ำกับสาธารณชน
ย้อนไปเมื่อ 14 กุมภาวาเลนไทน์ บล็อกโพสต์ของ Google เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการปิดกั้นโฆษณาใน Chrome ซึ่งรวมถึงหลักเกณฑ์พิจารณาโฆษณาที่สอดคล้องและไม่สอดคล้องกับมาตรฐาน Better Ads Standards โฆษณาที่เข้าข่ายสร้างความรำคาญจะถูกปิดกั้นทันทีหากผู้เผยแพร่โฆษณาไม่ปรับปรุงหรือปฏิบัติตามมาตรฐานภายใน 30 วัน หลังจากได้รับแจ้งสถานะถูกบล็อกตามรายงานของ AdExchanger
นักวิจารณ์ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและแหล่งข่าวในอุตสาหกรรม ตั้งข้อสังเกตว่านโยบายปิดกั้นโฆษณาของ Google ส่วนใหญ่จะไม่ใช้กับโฆษณาที่แสดงบนเว็บไซต์ของ Google ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงโฆษณาตัดสินใจส่งลงโฆษณากับ Google มากขึ้น
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการบล็อกส่วนใหญ่จะมีผลกับโฆษณาป๊อปอัปและโฆษณาเล่นอัตโนมัติ ขณะที่ Google สร้างรายได้ส่วนใหญ่จากโฆษณาแบบข้อความ และโฆษณารูปภาพสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ข้อกล่าวหานี้ Google ปฏิเสธสุดตัว โดยเฉพาะข้อหาเรื่องที่ตัวเองมีอิทธิพล “มากเกินไป” ในการพิจารณาโฆษณาที่จะถูกปิดกั้น จุดนี้ Google บอกว่า Google เป็นเพียงหนึ่งในหลายบริษัทที่พัฒนามาตรฐานโฆษณาดีร่วมกับกลุ่มผู้ลงโฆษณา ผู้เผยแพร่โฆษณา และบริษัทด้านเทคโนโลยีในชื่อ Coalition for Better Ads ที่ได้ร่วมกันกำหนดมาตรฐานเพื่อตัดสินว่าโฆษณารูปแบบใดก่อความรำคาญจนไม่สามารถยอมรับได้
อย่างไรก็ตาม สมาชิกกลุ่ม Coalition for Better Ads ยอมรับตรงไปตรงมากับ Journal ว่า Google คือเจ้าภาพที่พัฒนาและดำเนินการวิจัยส่วนใหญ่ ที่นำไปสู่การกำหนดกฏเกณฑ์ในภาพรวม
ที่มา: MarketingDive