ปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่อีกครั้งสำหรับทาง Google ผู้ให้บริการเสิร์ชเอนจิ้นอันดับหนึ่งของโลก โดยพวกเขาเตรียมที่จะกระตุ้นตลาดโฆษณาออนไลน์ด้วยกลยุทธ์ใหม่ โดยพวกเขาประกาศเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการใช้บริการเสิร์ชเอนจิ้น ว่าทาง Google นั้นมีสิทธิที่จะติดชื่อและรูปภาพของผู้ใช้บริการลงในโฆษณาบนระบบ Google ได้ ซึ่งคาดกันว่าน่าจะมีหลายปฏิกิริยาตามมาหลังการประกาศครั้งนี้…
โดยทาง Google ได้ให้รายละเอียดการตัดสินใจที่จะใส่ข้อมูลผู้ใช้ ทั้งในส่วนของชื่อและภาพของผู้ใช้ลงในโฆษณาบน Google ว่าทั้งชื่อและภาพของผู้ใช้งานจะถูกนำใช้เป็นเหมือนเป็นลงชื่อกในการแชร์ข้อมูล ซึ่งจะปรากฏในพื้นที่เล็กๆ บรรทัดที่อยู่ใต้ข้อความโฆษณาหรือบริการของทาง Google เอง
ยกตัวอย่างให้เห็นกันง่ายๆ อย่างเช่น ผู้ที่เข้าไปใช้งาน Google Play จะได้เห็นเพจของวงดนตรีที่เพื่อนๆ ของพวกเขา ได้ให้คะแนน 4 ดาวบนอัลบั้มล่าสุด เช่นเดียวกับที่ผู้กดปุ่ม +1 แสดงความชื่นชมร้านเบเกอรี่ใกล้บ้าน ก็จะถูกแสดงชื่อไว้ที่โฆษณาซึ่งเบเกอรี่ร้านดังกล่าวเลือกเผยแพร่ผ่าน Google ครับ
ภายใต้เงื่อนไขการใช้บริการแบบใหม่ที่ Google เพิ่งประกาศ จะทำให้ไม่ว่าผู้ท่องโลกไซเบอร์จะไปแสดงความคิดเห็น (comment) ติดตาม (follow) หรือแสดงความชื่นชอบผ่านการกดปุ่ม +1 ที่หน้าเพจใด (ในขณะที่ลงชื่อใช้งานบัญชี Google แล้ว) ชื่อและภาพของพวกเขาจะไปปรากฏขนาบข้างโฆษณาของ Google อย่างถูกต้องตามกฎหมายทันที
ทาง Google ยืนยันว่าข้อมูลชื่อและภาพของผู้แบ่งปันข้อมูลเหล่านี้ จะถูกมองเห็นโดยผู้ที่ถูกตั้งค่าให้รับชมข้อมูลนี้ตั้งแต่ต้น ทั้งผู้ที่อยู่ในแวดวง (circle) เดียวกันบนเครือข่ายสังคม Google+ รวมถึงระบบจัดอันดับ rating และบทความรีวิวที่ถูกโพสต์บน Google Play ซึ่งผลลัพท์จากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือการเพิ่มความถี่ในการเปิดอ่านให้แพร่หลายวงกว้าง
โดยผู้ให้บริการเสิร์ชเอนจิ้นอันดับหนึ่ง เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขใช้บริการครั้งนี้จะส่งผลดีต่อวงกว้าง โดยเฉพาะในสังคมกลุ่มเพื่อนที่จะได้รับผลการค้นหาพร้อมโฆษณาที่ดีกว่า ทั้งโฆษณาบนสารพัดบริการของ Google อย่าง Search, Maps และ Play Store เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้สามารถปกป้องไม่ให้ชื่อตัวเองไปปรากฏบนโฆษณาของ Google ด้วยการตั้งค่าที่เมนู “Shared endorsements setting” เพียงเท่านี้รูปและชื่อของผู้ใช้งานก็จะไม่ได้รับการอนุญาตให้นำไปแสดงบนโฆษณาใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเงื่อนไขบริการใหม่นี้จะมีผลต่อผู้ใช้อายุ 18 ปีขึ้นไป และจะเริ่มใช้งานจริงวันที่ 11 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้
มุมมองของกองบรรณาธิการ: การเปลี่ยนแปลงของ Google ในครั้งนี้ ถูกนำไปเทียบกับเครือข่ายสังคมออนไลน์เบอร์หนึ่งอย่าง Facebook ซึ่งติดตั้งชื่อและภาพของผู้ใช้บนโฆษณาอยู่แล้ว แต่เป็นการแสดงในรูปข้อความแจ้งในหน้าเพจของผู้สนับสนุน เช่นหากผู้ใช้ Facebook กด like ชื่นชอบเครื่องดื่มเย็น Starbucks Caramel Frappuccino บนเพจของ Starbucks แบรนด์กาแฟยักษ์ใหญ่ก็สามารถจ่ายเงินให้ Facebook กระจายคำชมนี้ไปทั่วๆ กลุ่มเพื่อนได้
หากแต่ความแตกต่างระหว่างทั้งคู่ก็คือ Facebook ไม่เคยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้ “opt out” หรือปิดคุณสมบัติเกี่ยวกับโฆษณา ซึ่งผู้ใช้จะต้องจำกัดกิจกรรมเพื่อระวังตัวด้วยตัวเอง ซึ่งก็ต้องบอกว่าทาง Google แฟร์กับผู้ใช้งานพอสมควรเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเชื่อว่าผู้ใช้จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่จะบ่นกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของสิทธิส่วนบุคคล…
ที่มา: VentureBeat