หลังจากเปิดให้บริการชำระเงินดิจิตอลแก่ชาวอเมริกันในชื่อ Google Wallet เพื่อให้ทุกคนสามารถแตะโทรศัพท์มือถือกับเครื่องอ่านของร้านค้าตั้งแต่ปีที่แล้ว วันนี้สื่อต่างชาติกำลังจับตาว่ากูเกิลกำลังเปิดให้บริการเพิ่มเติม โดยมาในรูปบัตรแข็งเหมือนบัตรเครดิตที่เราใช้กันอยู่ทั่วไป
สื่อที่รายงานความเคลื่อนไหวสุดทึ่งของกูเกิลนี้คือ Android Police รายงานระบุถึงความเป็นไปได้ในการให้บริการบัตรเครดิตชนิดบัตรแข็งโดย Google เบื้องต้น บัตรเครดิตนี้มีชื่อเรียกว่า Google Wallet card และจะทำหน้าที่ได้ไม่ต่างจากบัตรเครดิตทั่วไป
แนวคิดที่อยู่เบื้องหลังโครงการนี้คือบัตร Google Wallet card จะทำการ sync หรือเชื่อมโยงข้อมูลกับบัตรเครดิตที่ผู้ใช้เลือกชำระไว้ในบริการ Google Wallet แล้ว ซึ่งในกรณีที่ผู้ใช้ไม่สามารถหรือไม่ต้องการจ่ายเงินด้วยการแตะโทรศัพท์ศัพท์มือถือ ก็จะสามารถใช้บริการผ่านบัตรแข็ง Google Wallet card นี้ได้แทน
รายงานใน Android Police มีการเผยแพร่ข้อความที่กูเกิลเริ่มแนะนำบริการบัตรแข็งนี้กับผู้ใช้ Android ใจความหลักคือเมื่อใดที่ไม่สามารถแตะสมาร์ทโฟนเพื่อจ่ายเงิน (tap and pay) ก็สามารถใช้บริการบัตร Google Wallet card ได้ เพราะบัตรนี้จะสามารถใช้กับร้านค้าทุกแห่งที่รับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตและบัตรเดบิต
กูเกิลยังย้ำอีกว่า ด้วยบัตร Google Wallet card ใบเดียว ผู้ใช้ก็จะสามารถเก็บบัตรเครดิตทั้งปึกไว้กับบ้านโดยไม่ต้องพกติดตัวอย่างเคย โดยทั้งหมดนี้ทาง? Google จะส่งอีเมลแนะนำผู้ใช้ที่สนใจเป็นรายบุคคล เพื่อที่กูเกิลจะได้จัดส่งบัตรให้ทางไปรษณีย์
กูเกิลนั้นเปิดตัวบริการ Google Wallet ในเดือนกันยายนปี 2011 ให้บริการระบบชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือหรือ mobile payment system ผ่านเทคโนโลยี near field communications หรือชิป NFC ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถจ่ายเงินค่าสินค้าและบริการด้วยการแตะโทรศัพท์มือถือกับเครื่องอ่าน อย่างไรก็ตาม การพัฒนาและผลักดันระบบให้มีการใช้งานในวงกว้างนั้นมีอุปสรรค เพราะร้านค้าที่ติดตั้งเครื่องอ่าน NFC สำหรับชำระเงินนั้นยังมีน้อย ขณะที่โทรศัพท์มือถือที่ติดชิป NFC ก็ยังมีจำกัดเป็นบางรุ่นเท่านั้น
ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กูเกิลพยายามรุกหนักและขยายบริการให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยสามารถพัฒนาเป็นบริการ Cloud-Computing ที่รองรับบัตรเครดิตสากลอย่าง Visa, MasterCard, American Express และ Discover card ได้แล้ว
ต้องบอกว่านี่คือเรื่องใหม่ที่น่าสนใจมากในวงการ mobile payment system ซึ่งเชื่อว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงไม่มากก็น้อยในวงการค้าขายทั่วสหรัฐฯ
ที่มา: Mashable