ที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบยกเลิกประกาศการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) เพื่อกลับไปใช้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ภายหลังจากจากคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ประกาศให้โควิด-19 จากที่เป็นโรคติดต่ออันตราย มาเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ 1 ต.ค.นี้ เป็นต้นไป
ด้าน นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. กล่าวก่อนการประชุม ศบค. ว่า ขณะนี้สถานการณ์โควิด-19 ของไทย ตัวเลขผู้ป่วยที่เข้ารักษามีประมาณ 800-1,000 คน
ส่วนการตรวจเอทีเคที่รายงานเข้าระบบมีประมาณ 13,000-14,000 คนต่อวัน แต่มีอาการที่ไม่รุนแรง จึงเป็นเหตุผลการเปลี่ยนผ่านโรคโควิด-19 จากโรคติดต่อร้ายแรงสู่โรคติดต่อเฝ้าระวัง แต่ยังไม่ได้เป็นโรคประจำถิ่น เพราะการประกาศเป็นโรคประจำถิ่น จะต้องมีตัวเลขผู้ติดเชื้อน้อยกว่านี้
เมื่อประกาศเป็นโรคเฝ้าระวัง สามารถผ่อนคลายกิจกรรมได้ แต่ยังย้ำให้ทุกคนต้องดูแลตัวเอง ประเมินความเสี่ยง ไม่ไปในที่แออัด สวมใส่หน้ากากอนามัย พร้อมเน้นย้ำเรื่องวัคซีน โดยเฉพาะเข็มกระตุ้นมีประโยชน์
นพ.อุดม ยืนยันว่า หากมีการระบาดระลอกใหม่ รัฐบาลไม่กังวล เพราะได้มีการวางระบบไว้หมดแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาเป็นการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดย ศบค. ทำให้ทุกหน่วยงานบูรณาการร่วมกันได้ และตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป ไม่ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก็ต้องยุบ ศบค. ไปด้วย
ที่มา