มีรายงานว่า โรงแรมหลายแห่งได้เริ่มปรับลุคใหม่ โดยนำเคาท์เตอร์บาร์ออกจากห้องพัก รวมถึงโต๊ะทำงาน แถมโรงแรมบางแห่งอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะใส่ตู้เสื้อผ้าไว้ในห้องพักต่อดีหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะว่าต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย แต่เป็นเพราะมัน “ไม่ตอบโจทย์” ลูกค้ายุคใหม่อีกแล้วนั่นเอง
การเกิดขึ้นของที่พักสไตล์ Airbnb เป็นตัวการหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งภาพลักษณ์ของโรงแรมในสายตาคนกลุ่มมิลเลนเนียลซึ่งเป็นผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ของตลาดปัจจุบันมองว่า มีหลายอย่างที่ไม่จำเป็น และไม่ตอบโจทย์การใช้งานห้องพักของพวกเขา เช่น มินิบาร์ ที่บรรจุเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวราคาแพงกว่าร้านสะดวกซื้อด้านล่างโรงแรม
หรือกรณีของการนำโต๊ะทำงานออกไปจากห้องพักนั้น เป็นเพราะว่าลูกค้ากลุ่มมิลเลนเนียลนั้นหลายคนต้องการแชร์พื้นที่การทำงานร่วมกับคนอื่น ซึ่งอาจนำไปสู่การแลกเปลี่ยนความคิดกันและเกิดเป็นไอเดียใหม่ ๆ ขึ้นมา ผลก็คือ หลาย ๆ โรงแรมเริ่มปรับเปลี่ยนพื้นที่ในส่วนล็อบบี้เป็นพื้นที่ทำงานของลูกค้าแทน
มากไปกว่านั้น คือการที่บางโรงแรมกำลังตัดสินใจว่าจะยกตู้เสื้อผ้าออกจากห้องพักด้วย เนื่องจากทางโรงแรมพบว่า ทริปที่ลูกค้าเข้าพักนั้น บางครั้งก็สั้นเสียจนไม่ต้องย้ายเสื้อออกจากกระเป๋าเดินทางไปเข้าตู้ ลูกค้าก็ต้องเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแล้ว (รวมถึงความรู้สึกไม่คุ้มค่าว่าจะต้องจ่ายค่าที่พักแพงกว่า Airbnb ถึงสามเท่าด้วย)
ทั้งหมดนี้คือการเปลี่ยนแปลงที่ธุรกิจโรงแรมต้องปรับตัวอย่างมหาศาล เพื่อรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และยิ่งบริการอย่าง Airbnb ทำได้ดีมากขึ้นเท่าไร การปรับตัวของโรงแรมก็จะยิ่งหนักหนาสาหัสมากขึ้นเท่านั้น โดยสิ่งหนึ่งที่ Airbnb ได้เปรียบก็คือ โฮสต์ของที่พักนั้นมีความใกล้ชิดกับลูกค้ามากกว่า ทำให้พวกเขาสามารถตอบสนองสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้รวดเร็วกว่าพนักงานโรงแรมที่มีห้องให้ต้องดูแลจำนวนมากนั่นเอง
ในยุคที่ความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ การบริหารโรงแรมในรูปแบบเดิม ๆ จึงเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง
ที่มา: inc-asean.com