นักการตลาดและเอเจนซี่ที่ดูแลแบรนด์หลายท่านที่ทำการตลาดบน LINE อาจจะเคยได้ยินหรือเคยลองใช้เครื่องมือ BUSINESS MANAGER กันมาบ้าง
แต่ทราบหรือไม่ว่า BUSINESS MANAGER นั้น สามารถทำ Cross Targeting หรือการส่งข้อมูลกลุ่มเป้าหมายข้ามผลิตภัณฑ์บน LINE เพื่อการยิงโฆษณาหรือการทำแคมเปญได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งการใช้เครื่องมือนี้จะช่วยให้องค์กรที่มีสินค้าหลายตัวสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ได้กว้างขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
วันนี้ thumbsup จะมายกตัวอย่างการใช้งานเครื่องมือนี้ ให้นักการตลาดของแบรนด์และเอเจนซี่ ได้นำไปปรับใช้กันค่ะ
รู้จัก BUSINESS MANAGER ใช้ทำงานอะไรได้บ้าง
นักการตลาดที่เคยวางแผนสร้างแคมเปญใน LINE น่าจะทราบดีว่า LINE มีเครื่องมือในการทำการตลาดที่หลากหลายเพื่อให้ได้เลือกใช้ในการเข้าถึงลูกค้า และในวันนี้ ยังสามารถช่วยให้แบรนด์ทำ Cross Targeting ได้ง่ายๆ ผ่านเครื่องมือ BUSINESS MANAGER ที่จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการแชร์ข้อมูลกลุ่มเป้าหมายของระหว่าง 3 เครื่องมือสำคัญ ได้แก่
- LINE OA ช่องทางหลักในการสื่อสารทำการตลาด
- LINE Ads บัญชีเพื่อการยิงโฆษณาบนพื้นที่ตำแหน่งต่างๆ ใน LINE Ecosystem
- Smart Channel Ads ตำแหน่งโฆษณาทำเลทองด้านบนสุดของหน้ารายการแชทในแอปฯ LINE
โดยทั่วไประบบหลังบ้านของ LINE สามารถทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลกลุ่มเป้าหมายระหว่าง LINE OA และ LINE Ads ได้อยู่แล้ว
แต่ปัญหาคือรูปแบบการทำงานเดิมจะจำกัดเพียงหนึ่งบัญชี LINE OA ต่อหนึ่งบัญชี LINE Ads Account เท่านั้น ซึ่งถือเป็นข้อจำกัดในการทำ Cross Targeting สำหรับแบรนด์ที่มี LINE OA หรือ LINE Ads มากกว่าหนึ่งบัญชี
LINE จึงได้พัฒนาเครื่องมือ BUSINESS MANAGER เพื่อแก้ข้อจำกัดนั้น ทำให้การทำ Cross Targeting บนแพลตฟอร์ม LINE มีประสิทธิภาพการสื่อสาร การยิงโฆษณามากขึ้น
ทั้งนี้ thumbsup จะมาแนะนำตัวอย่างการใช้งานเครื่องมือ BUSINESS MANAGER เพื่อการทำ Cross Targeting 6 รูปแบบ เพื่อให้นักการตลาดเข้าใจกระบวนการทำงานมากขึ้น
รูปแบบที่ 1 : นำกลุ่มผู้ติดตาม (Friend List) ของแบรนด์ A ไปยิงแอดบนบัญชี LINE Ads ของแบรนด์ B
การทำ Cross Targeting รูปแบบนี้ จะช่วยให้แบรนด์หรือธุรกิจที่เป็นมีสินค้าหลายแบรนด์ นำข้อมูลระหว่างตัวสินค้า มาเพิ่มโอกาสทางการขาย เพราะแต่ละแบรนด์ย่อมมี LINE OA ภายใต้การดูแลอยู่หลายแบรนด์
ตัวอย่างเช่น
แบรนด์ A (บิวตี้) VS แบรนด์ B (น้ำหอม)
ในกรณีที่แบรนด์ B ออกสินค้าใหม่เป็นน้ำหอมกลิ่นใหม่ และต้องการเพิ่มโอกาสในการรับรู้ไปที่กลุ่มเป้าหมายของสินค้าบิวตี้เพราะมีฐานลูกค้าที่กว้างและหลากหลาย โดยมีเป้าหมายในการโฆษณาที่ต้องการสื่อสารว่า “เมื่อลูกค้าสนใจผลิตภัณฑ์ความงามอยู่แล้ว พวกเขาอาจต้องการน้ำหอมเพื่อเสริมความมั่นใจ”
นักการตลาดของแบรนด์ สามารถนำเอาข้อมูลผู้ติดตาม หรือ Friend List จาก LINE OA ของแบรนด์ A ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่น่าจะสนใจในสินค้ากลุ่มความงาม มาแชร์ให้กับบัญชี LINE Ads ของแบรนด์ B ซึ่งเป็นสินค้าน้ำหอม เพื่อให้นำไปใช้เป็นกลุ่มเป้าหมายในการยิงแอด รวมทั้งเป็นการแนะนำสินค้าใหม่ให้กลุ่มเป้าหมายเหล่านั้น
ถือเป็นการขยายฐานกลุ่มเป้าหมายในการยิงโฆษณาของแบรนด์น้ำหอมให้ครอบคลุมขึ้น โดยยังคงอาศัยข้อมูลจากภายในองค์กรเดียวกันอยู่ จากการทดสอบของ LINE พบว่า การแชร์กลุ่มเป้าหมายในรูปแบบนี้ ช่วยให้ธุรกิจมี CTR เพิ่มขึ้นถึง 1.8 เท่า
รูปแบบที่ 2 : นำกลุ่มเป้าหมายที่คลิกข้อความบรอดแคสต์บน LINE OA ของแบรนด์ A ไปยิงแอดบนบัญชี LINE Ads ของแบรนด์ B
ตัวอย่างเช่น
แบรนด์ A (บิวตี้) VS แบรนด์ B (น้ำหอม)
เมื่อสินค้าใกล้เคียงกัน ธุรกิจสามารถทำ Cross Targeting ผ่านการแชร์กลุ่มเป้าหมายเพื่อประสิทธิภาพการยิงโฆษณาที่สูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่เคยคลิกข้อความหรือภาพสินค้าจากการบรอดแคสต์ สะท้อนความสนใจที่ใกล้เคียงกัน ย่อมมีแนวโน้มที่จะให้ประสิทธิภาพในการยิงโฆษณาที่สูงขึ้น
แบรนด์บิวตี้อาจเคยทำภาพครีเอทีฟที่มีสินค้าหลากหลาย หรือมีคุณสมบัติหลากหลายรวมถึงสินค้าที่มีกลิ่นหอม ดังนั้น แบรนด์น้ำหอมสามารถเลือกเอาผู้ติดตามที่เคยคลิกภาพบรอดแคสต์ของสินค้าที่มีกลิ่นหอม หรือเกี่ยวกับกลิ่น มาเป็นกลุ่มเป้าหมายในการยิงแอดให้กับแบรนด์น้ำหอมเพื่อเข้าถึงลูกค้าที่สนใจผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นหอม ซึ่งจะเกิดประสิทธิภาพมากกว่าการยิงแอดไปในกลุ่มเป้าหมายที่กว้างกว่าแต่ไม่ทราบความสนใจ
รูปแบบที่ 3 : นำกลุ่มเป้าหมายที่คลิกโฆษณาของแบรนด์ A ไปยิงแอดบนบัญชี LINE Ads ของแบรนด์ B
ตัวอย่างเช่น
แบรนด์ A (บิวตี้) VS แบรนด์ B (น้ำหอม)
ไม่เพียงการแชร์ข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่คลิกข้อความหรือภาพจากการบรอดแคสต์จากใน LINE OA เท่านั้น ข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายที่เคยคลิกภาพจากโฆษณาผ่าน LINE Ads ของแบรนด์ A ที่อาจจะปรากฏอยู่ตามหน้า LINE TODAY, LINE VOOM, LINE Wallet หรือหน้า LINE OpenChat เป็นต้น ก็สามารถแชร์ไปให้แบรนด์ B ใช้ยิงแอดได้เช่นกัน ซึ่งจะทำให้ได้ฐานข้อมูลที่กว้างขึ้น ไม่ได้จำกัดแต่ผู้ติดตามใน LINE OA เพียงอย่างเดียว
กรณีคล้ายกันกับรูปแบบที่ 2 แต่ในกรณีนี้ แบรนด์จะได้กลุ่มเป้าหมายที่กว้างกว่า ไม่ใช่เพียงผู้ติดตาม LINE OA ของแบรนด์บิวตี้เท่านั้น แต่เป็นกลุ่มผู้ใช้ LINE อื่นๆ ที่เคยคลิกแอดของแบรนด์บิวตี้ด้วย โดยเมื่อนำข้อมูลกลุ่มนี้มาเป็นกลุ่มเป้าหมายในการยิงแอดของแบรนด์น้ำหอม จะทำให้แบรนด์น้ำหอมที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจและจำนวนมากขึ้น
รูปแบบที่ 4 : นำกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของแบรนด์ A ไปยิงแอดบนบัญชี LINE Ads ของแบรนด์ B
ตัวอย่างเช่น
แบรนด์ A (บิวตี้) VS แบรนด์ B (น้ำหอม)
การแชร์ข้อมูลกลุ่มเป้าหมายผ่าน BUSINESS MANAGER ยังสามารถแชร์ข้อมูลลูกค้าที่ถูกติดตามจากการติด LINE Tag ได้ด้วย แบรนด์สามารถแชร์กลุ่มเป้าหมายที่ LINE Tag ติดตามผลว่า ได้เคยคลิกเข้าสู่เว็บไซต์ของแบรนด์ A จากการคลิกโฆษณามาแล้ว ไปใช้ยิงโฆษณาของแบรนด์ B หรือนำกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้น ไปสร้างกลุ่มเป้าหมาย Lookalike ได้เช่นเดียวกัน
ผู้ที่ให้ความสนใจเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์จากการคลิกผ่านโฆษณาเข้ามา ย่อมเป็นผู้ที่มีความสนใจในผลิตภัณฑ์อย่างแท้จริง จึงถือเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพ แบรนด์น้ำหอมสามารถเลือกเอากลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้าไปในเว็บไซต์ของแบรนด์บิวตี้ มาเป็นกลุ่มเป้าหมายในการยิงแอดแบรนด์น้ำหอม ซึ่งจะสามารสร้างประสิทธิภาพในการยิงแอดเพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน
รูปแบบที่ 5 : นำข้อมูลที่เก็บจากลูกค้าโดยตรงของแบรนด์ A ไปยิงแอดบนบัญชี LINE Ads ของแบรนด์ B
ตัวอย่างเช่น
แบรนด์ A (บิวตี้) VS แบรนด์ B (น้ำหอม)
หากทางแบรนด์มีการเก็บข้อมูลโดยตรงจากลูกค้า หรือที่เรียกว่า 1st party data ทั้งแบบออฟไลน์หรือออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลส่วนตัว, อีเมล์, User ID หรือข้อมูลอื่นๆ ที่ได้ทั้งจากการทำแบบสอบถาม การเล่นเกมส์ หรือกิจกรรมทางการตลาดที่เคยทำมาของแบรนด์ A สามารถนำข้อมูลเหล่านี้ ไปใช้ยิงโฆษณาในบัญชีโฆษณาของแบรนด์ B ได้
ทั้งนี้ นักการตลาด แบรนด์ หรือผู้ประกอบการสามารถอัปโหลดข้อมูลเข้า BUSINESS MANAGER ได้
โดยไม่ต้องมีความกังวลในเรื่องการละเมิดกฏหมาย PDPA เพราะแบรนด์สามารถเลือกอัปโหลดข้อมูลเองได้โดยตรง รวมถึงจัดการ ลบข้อมูลเองได้ เลือกบัญชี LINE OA และ LINE Ads ในการทำแคมเปญแต่ละครั้งเองได้
รูปแบบที่ 6 : นำข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่เคยเห็นแอดบน LINE Smart Channel ไปยิงแอดบน LINE Ads
ตัวอย่างเช่น
แบรนด์ A (บิวตี้) VS แบรนด์ B (น้ำหอม)
แบรนด์สามารถนำกลุ่มเป้าหมายที่เคยรับชมหรือเคยคลิกโฆษณาบน LINE Smart Channel แชร์ไปที่ LINE Ads
เพื่อยิงโฆษณาตอกย้ำการรับรู้ด้วยข้อมูลที่ลึกขึ้น สร้าง Call to Action หรือแจ้งโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นให้เกิดความสนใจจนสามารถปิดการขายได้ โดยจากการทดสอบของ LINE การทำ Cross Target เช่นนี้ จะช่วยเพิ่ม CTR ขึ้นถึง 5.7 เท่า และลดต้นทุน CPC ได้ถึง 40%
LINE Smart Channel เป็นเครื่องมือที่เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้จำนวนมาก เมื่อโฆษณาของแบรนด์บิวตี้ปรากฏอยู่บนตำแหน่งนี้ จะสามารถเก็บข้อมูลผู้สนใจคลิกแอดได้เป็นจำนวนมาก การแชร์กลุ่มเป้าหมายนี้ไปให้กับแบรนด์น้ำหอม จะสามารถสร้างกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีศักยภาพให้กับแบรนด์น้ำหอมได้เป็นอย่างดี
เครื่องมือใหม่ BUSINESS MANAGER ของ LINE ถือเป็นเครื่องมือที่เข้ามาช่วยเสริมจุดแข็งให้แบรนด์และนักการตลาดในการสื่อสารกับลูกค้าและลดปัญหาการทำงานซ้ำซ้อนที่ ต้องเสียเวลาและเสียโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ทั้งที่มีข้อมูลในมืออยู่แล้ว
อีกอย่างหนึ่งคือช่วยลดคความกังวลเรื่องกฏหมาย PDPA ที่แบรนด์และเอเจนซี่กังวลอย่างมากในการเก็บข้อมูลต่างๆ เพราะเป็นการแชร์ข้อมูลภายในองค์กรเดียวกันได้เท่านั้น ขณะเดียวกันก็ทำให้แบรนด์ได้ประโยชน์สูงสุดจากการใช้งานเครื่องมือใน LINE Ecosystem มากขึ้น
ทาง LINE เองก็มีการเสริมความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วยผลการทดสอบการใช้งาน BUSINESS MANAGER ที่สามารถสร้างประสิทธิภาพการสื่อสาร รวมทั้งเพิ่ม CTR ได้มากขึ้นถึง 46% จากการทำ Cross Targeting ตามตัวอย่างที่เรายกมาฝากกัน
แบรนด์ที่สนใจสามารถใช้งาน BUSINESS MANAGER ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม!
โดยสามารถติดต่อเอเจนซี่ที่ดูแลแบรนด์ของท่านเพื่อลองใช้เครื่องมือนี้ ติดต่อเอเจนซี่พันธมิตรของ LINE ได้ที่ https://lineforbusiness.com/th/partner
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ BUSINESS MANAGER ได้ที่ https://lineforbusiness.com/th/service/businessmanager
#LINEBusinessManager #LINEforBusiness #Advertorial
บทความนี้เป็น Advertorial