การทำโฆษณาบน Facebook ยังคงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่นักการตลาดชื่นชอบกันมาก เพราะเข้าถึงกลุ่มคนปริมาณมากๆ ได้ แม้ว่าอัลกอริธึ่มของ Facebook จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์กำหนดได้เป็นอย่างดี ก็เป็นเสน่ห์ของเฟสบุคที่หลายแพลตฟอร์มพยายามทำกัน
แม้ว่าการทำความเข้าใจประเภทของโฆษณาจะเป็นสิ่งที่ควรทำก็ตาม ด้วยผู้ใช้งานทั่วโลกที่มีมากกว่า 2,500 ล้านคน แชร์วีดีโอ ภาพและข้อความมากมาย ทำให้แบรนด์ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมใด ก็อยากทำโฆษณาเจ๋งๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้จะมีข้อมูลหรือเทคนิคเกี่ยวกับการโฆษณาที่หลากหลายรูปแบบ แต่ธุรกิจรายเล็กจำนวนมากไม่สามารถตั้งค่าข้อมูลให้ตรงกับความต้องการได้ดีนัก
จากรายงานพบว่า Facebook มีอิทธิพลอย่างมากในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ โดยอุตสาหกรรมยานยนต์ระบุว่า 40% ของยอดขายรถยนต์มาจากโฆษณาแบบ Display และ Social Media
ทาง Cars.com เผยว่า มีผู้ซื้อรถยนต์กว่า 81% ใช้โทรศัพท์มือถือในการหาข้อมูลก่อนการตัดสินใจซื้อ 63% จะตัดสินใจซื้อเมื่อดูสินค้าจริงอยู่ท่ีโชว์รูม และอีก 25% ของคนกลุ่มนี้ จะหาข้อมูลก่อนที่จะไปหาดีลเลอร์
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า เม็ดเงินโฆษณาจะแข่งขันกันสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขายให้ดีขึ้น รวมทั้งกำหนดเป้าหมายให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสซื้อมากที่สุด รวมทั้งจะทำการ retargeting ซ้ำๆ เมื่อคุณไม่สามารถขายสินค้าได้
ดังนั้น การเก็บข้อมูลที่รอบด้านของกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยให้การวางแผนกลยุทธ์การตลาดเป็นไปได้อย่างแม่นยำและสร้างโอกาสในการขายได้ดีขึ้น โดยเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายที่อยู่ใกล้กับเขตพื้นที่เข้าถึงใกล้ที่สุดก่อน เพื่อเพิ่มความสะดวกของกลุ่มลูกค้าที่มีโอกาสซื้อรถให้เขาเข้าไปดูสินค้าจริงที่โชว์รูม และปิดการขายได้ง่ายขึ้น
การทำ Data Collection ของ Facebook Ads ที่ดี คือต้องรู้ก่อนว่า Journey ว่าลูกค้าจะเป็นไปในทางไหน และกำหนดเงื่อนไขให้เป็นไปตามนั้น โดยเราต้องรู้ว่าลูกค้าจะค้นหาอะไร ถึงจะมาเจอเว็บไซต์ของเรา แม้ลูกค้าจะออกไปโดยไม่ได้ซื้อสินค้าของเรา แต่อย่างน้อยก็จะจดจำแบรนด์หรือเว็บไซต์ของเราได้ จากนั้น การทำ retargeting จะทำให้ลูกค้ากลับมาเห็นเว็บไซต์เราอีกครั้งและจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีโอกาสซื้อมากขึ้น
การจัดเก็บข้อมูลลูกค้าที่ดีจะช่วยให้เราเห็นความต้องการของเขา และแบรนด์ก็มีโอกาสเชื่อมต่อกับลูกค้าที่มีคุณสมบัติพร้อมที่จะซื้อและเพิ่มโอกาสเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ด้วย
นอกจากนี้ การเก็บข้อมูลลูกค้า และกลุ่มผู้ชมเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าที่มีพฤติกรรมการค้นหาว่าพวกเขาจะมีโอกาสในการซื้อสินค้าอย่างไร
ยกตัวอย่างการทำ Facebook Ads ด้วยการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุระหว่าง 18-65 ปี เคยเป็นกลุ่มทที่เคยค้นหาข้อมูลหรือเข้าเว็บไซต์ของแบรนด์สินค้าของเราหรือไม่ การกำหนด Conversion ที่ชัดเจนพร้อมกำหนดแรงจูงใจ ภาพถ่ายประกอบโฆษณาที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพ ย่อมเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงโฆษณาให้ดีขึ้น รวมทั้งกระตุ้นให้คนที่เห็นอยากคลิก “ลงทะเบียน” เพื่อเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มโฆษณาในอนาคตโดยอัตโนมัติ
ทำไมการทำ Facebook Ads ถึงได้ผลดี?
นั่นเป็นเพราะการทำโฆษณาจะช่วยให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมีโอกาสเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น 63% มีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 63% และสร้างผลกำไรได้ดีขึ้นกว่าค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาถึง 12 เท่า
แล้วแบบนี้จะไม่ลองทำ Ads ดูสักครั้งหรือคะ
ที่มา : Data Insight