พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (the American Museum of Natural History : AMNH) เป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่มีอายุยาวนานมาก โดยเปิดดำเนินการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900 ซึ่งที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีบางห้องจัดแสดงที่ไม่สามารถตอบโจทย์การเป็นพิพิธภัณฑ์ได้มากนัก
โดยปัญหามาจากตัวพิพิธภัณฑ์เองที่ไม่มีการปรับปรุงในเรื่องการจัดแสดงให้ทันสมัย ห้องบางห้องเป็นห้องจัดแสดงมืด ๆ ที่มีโบราณวัตถุอยู่แต่ไม่สามารถจัดแสงสว่างได้ (เนื่องจากต้องเก็บให้พ้นแสงเพื่อไม่ให้เสื่อมสลายเร็วจนเกินไป) จนทำให้ผู้เข้าชมซึ่งบางส่วนเป็นนักท่องเที่ยวไม่ได้รับความรู้และความประทับใจมากนักจากการเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ และต้องเดินผ่านห้องดังกล่าวไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปชมจุดอื่น ๆ ที่น่าสนใจมากกว่า
การนำเทคโนโลยีล่าสุดเข้ามาปรับใช้ในการให้ความรู้แก่ผู้เข้าเยี่ยมชมในรูปแบบจออินเทอร์แอคทีฟที่พิพิธภัณฑ์มองว่าคล้ายกับเสาแกะสลัก (Digital Totem) เพื่อให้ข้อมูลในเรื่องต่าง ๆ จึงอาจเป็นทางเลือกที่พิพิธภัณฑ์เลือกใช้ในการดึงดูดผู้ชมนั่นเอง
โดย Digital Totem นี้ สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับชนเผ่าโบราณในเรื่องต่าง ๆ เช่น งานประดิษฐ์ แถมภาพที่แสดงบนจอดิจิตอลยังสามารถซูมเข้าออก หมุนภาพเล่นได้ หรือจะเล่นไฟล์เสียงของเสียงในยุคนั้นเช่น กลอง เสียงนกอินทรีร้อง ฯลฯ ก็ได้
ซึ่งข้อดีของการแปลงข้อมูลวัตถุโบราณเป็นข้อมูลดิจิตอลเพื่อนำมาเล่นบนหน้าจอแบบอินเทอร์แอคทีฟนี้คือทำให้ผู้เข้าชมสามารถมองเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ชัดเจนขึ้นกว่าการเพ่งมองผ่านตู้กระจกในสภาพที่ไม่ค่อยมีแสงเหมือนในอดีต แต่ข้อเสียก็คืออาจทำให้เด็ก ๆ เล่นจนติดหนึบ ไม่ยอมเดินไปจุดอื่นในพิพิธภัณฑ์ได้เช่นกัน
นอกจากนั้น ทางพิพิธภัณฑ์ยังมีการพัฒนาแอปโดยผนวกความสามารถ Augmented Reality ลงไปด้วย โดยเริ่มจากให้เด็ก ๆ ระบายสีภาพหน้ากากรูปนกของชนเผ่า จากนั้นให้เปิดแอปแล้วใช้กล้องดิจิตอลโฟกัสไปที่ภาพ แอปจะแสดงผลออกมาเป็นภาพหน้ากากสามมิติให้เลยทันที
เพียงเท่านี้ การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์โบราณ ก็กลายเป็นเรื่องน่าสนุกขึ้นแล้วสำหรับใครหลายคนเข้าแล้ว
ที่มา Engadget