ในการทำงานนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่ต้องยืนอยู่ในฝั่งของลูกค้า เอเจนซี่ แบรนด์ หรือฝั่งใดก็ตาม การปรับจูนการทำงานร่วมกันก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันในแบบที่เรียกว่า “เป็นมืออาชีพ”
ควบคุมอารมณ์ในการทำงานให้ดี
หากทำงานแล้วเกิดปัญหาใดๆ ขี้นมาก็ตามให้เอาเรื่องงานขึ้นมาเป็นหลัก โดยมุ่งเป้าไปว่าทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้งานนั้นๆ เสร็จสมบูรณ์ผ่านไปได้ด้วยดี
วิธีคุยกับอีกฝ่ายคือต้องค่อยๆ ฟังไปและคิด Solution ไปด้วย เพราะถ้าโมโหไปก็ไม่มีประโยชน์ ควรต้องมีสติกับอารมณ์ออกมาให้ได้
เพราะถ้าเราโฟกัสเรื่องงานเราจะไม่มีความหงุดหงิดระหว่างนั้น จะกลายเป็นการลองฟังจากทุกๆ ด้าน แล้วมาออกแบบ ‘วิธีแก้ปัญหา’ ร่วมกัน
ซึ่งถ้าลูกค้าร้อนมาก็อาจจะรับฟังไว้ก่อนแล้วค่อยไปให้ฝั่งนั้นอารมณ์เย็นลง แล้วค่อยคุยกันต่อไป
ใช้การพูดคุยทำความเข้าใจเยอะๆ
ในการทำงานควรต้องมีการคุยกันให้มากที่สุดในทีม ทั้งข้อจำกัดและปัญหาต่างๆ ที่ต้องพบเจอ ซึ่งถ้าที่สุดแล้วงานยังปล่อยออกมาไม่ได้อีกก็ต้องหาสาเหตุว่า “เพราะอะไร” แล้วแสดงออกว่าสามารถเข้าใจข้อจำกัดนั้น แต่ด้วยเงื่อนไขของเวลาทำให้ต้องหาทางแก้
แต่ถ้าลูกค้าขอข้อเสนอแนะมาก็พยายามหาวิธีในการแก้ปัญหาให้ เพราะจริงๆ แล้วลูกค้าต้องการวิธีแก้ปัญหามากกว่าการเออออห่อหมกตามน้ำ แต่ควรมีตัวเลือกให้อีกฝั่งได้เลือกไว้ตลอดด้วย
ทำการบ้านมาก่อนเบื้องต้น
ต้องทำการบ้านก่อนการคุยเยอะมากๆ เพราะต้องทำอะไรให้ดีก่อนที่เขาจะมาจี้ถามเรา เพื่อป้องกันการหงุดหงิด โดยต้องคิดนำหน้าไปอีกหนึ่งขั้นหรือการทำงานรอไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา
ในการทำงานกับลูกค้าแต่ละรายควรต้องศึกษาพฤติกรรมลูกค้าให้ดีๆ ถ้าทำงานล่วงหน้าไปปัญหาจะเกิดน้อย แต่หากการทำงานนี้มีหลายภาคส่วนที่ทำงานตามแผนล่วงหน้ากับเราไม่ได้ ก็ต้องหันกลับมามองว่าเราจะรับมืออย่างไรเมื่อโดนลูกค้าตาม
หรือถ้าสิ่งนั้นมันนอกเหนือขอบเขตก็อาจจะต้องบอกกับหัวหน้าของเราโดยตรง ว่ามันติดตรงนี้อยู่
ไม่มีใครชอบ ‘บรีฟไม่เคลียร์’
ในบางครั้งอาจต้องเจอลูกค้าบรีฟไม่เคลียร์ ขอแก้งาน หรืออยากได้ในสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในสโคปงานที่ตกลงกันตั้งแต่แรก หรือลูกค้าอยากได้ในสิ่งที่มีข้อจำกัด
หากบรีฟไม่เคลียร์ตอนแรกก็ฟังมาก่อน แล้วต้องตั้งคำถามกลับไปในแต่ละเรื่อง ซึ่งอาจจะต้องมีการโยนหินถามทางกลับไปว่าใช่อย่างที่เราเข้าใจไหม อีกฝั่งนั้นอยากได้ผลลัพธ์แบบนี้ไหม
หรือถ้าเขามั่นใจว่าตัวเองบรีฟเคลียร์แล้ว มีการวางแผน 1 2 3 4 เราก็ไปทำตามบรีฟที่เคลียร์นั้น
สำหรับการประชุมกับลูกค้าเสร็จแล้วเราต้องมีการทำ Recap อีกรอบ เพื่อเป็นการทำความเข้าใจว่ามีใครต้องทำอะไรบ้าง แล้วมีการส่วอีเมล์เพื่อยืนยันสิ่งนั้นๆ ที่จะทำให้เราได้คอนเฟิร์มว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วกับลูกค้าในเบื้องต้น
หรือถ้าลูกค้าขอแก้บ่อยๆ เราก็อาจจะต้องบอกข้อจำกัดในเรื่องของ “เวลา” กลับไปว่าอาจจะปรับได้อีกแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
อย่าลืมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
ควรแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าเรามีความเข้าใจในเนื้องาน สามารถให้คำปรึกษาแนะนำในบางเรื่องที่เขาอาจมองเห็นในแง่มุมเดียวได้ แล้วพอเราแนะนำไปมันดีจนคิดว่าเราสามารถเป็นเพื่อนคู่คิดด้วยกันได้ มากกว่าการทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว เพื่อให้ไอเดียที่ลูกค้ามีกลายมาเป็นผลงานออกมาดีที่สุด
ในชีวิตของเรามีทั้งวันที่ดีและวันที่ต้องการกำลังใจ แต่อย่างไรก็ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการทำงานของตัวเองนะคะ