Site icon Thumbsup

ทำงานกับลูกค้าอย่างไรให้ถูกเรียกว่าเป็น “มืออาชีพ”

ในการทำงานนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่ต้องยืนอยู่ในฝั่งของลูกค้า เอเจนซี่ แบรนด์ หรือฝั่งใดก็ตาม การปรับจูนการทำงานร่วมกันก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันในแบบที่เรียกว่า “เป็นมืออาชีพ”

ควบคุมอารมณ์ในการทำงานให้ดี

หากทำงานแล้วเกิดปัญหาใดๆ ขี้นมาก็ตามให้เอาเรื่องงานขึ้นมาเป็นหลัก โดยมุ่งเป้าไปว่าทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้งานนั้นๆ เสร็จสมบูรณ์ผ่านไปได้ด้วยดี

วิธีคุยกับอีกฝ่ายคือต้องค่อยๆ ฟังไปและคิด Solution ไปด้วย เพราะถ้าโมโหไปก็ไม่มีประโยชน์  ควรต้องมีสติกับอารมณ์ออกมาให้ได้

เพราะถ้าเราโฟกัสเรื่องงานเราจะไม่มีความหงุดหงิดระหว่างนั้น จะกลายเป็นการลองฟังจากทุกๆ ด้าน  แล้วมาออกแบบ ‘วิธีแก้ปัญหา’ ร่วมกัน

ซึ่งถ้าลูกค้าร้อนมาก็อาจจะรับฟังไว้ก่อนแล้วค่อยไปให้ฝั่งนั้นอารมณ์เย็นลง  แล้วค่อยคุยกันต่อไป

ใช้การพูดคุยทำความเข้าใจเยอะๆ

ในการทำงานควรต้องมีการคุยกันให้มากที่สุดในทีม  ทั้งข้อจำกัดและปัญหาต่างๆ ที่ต้องพบเจอ  ซึ่งถ้าที่สุดแล้วงานยังปล่อยออกมาไม่ได้อีกก็ต้องหาสาเหตุว่า “เพราะอะไร” แล้วแสดงออกว่าสามารถเข้าใจข้อจำกัดนั้น  แต่ด้วยเงื่อนไขของเวลาทำให้ต้องหาทางแก้

แต่ถ้าลูกค้าขอข้อเสนอแนะมาก็พยายามหาวิธีในการแก้ปัญหาให้  เพราะจริงๆ แล้วลูกค้าต้องการวิธีแก้ปัญหามากกว่าการเออออห่อหมกตามน้ำ  แต่ควรมีตัวเลือกให้อีกฝั่งได้เลือกไว้ตลอดด้วย

ทำการบ้านมาก่อนเบื้องต้น

ต้องทำการบ้านก่อนการคุยเยอะมากๆ เพราะต้องทำอะไรให้ดีก่อนที่เขาจะมาจี้ถามเรา เพื่อป้องกันการหงุดหงิด โดยต้องคิดนำหน้าไปอีกหนึ่งขั้นหรือการทำงานรอไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา

ในการทำงานกับลูกค้าแต่ละรายควรต้องศึกษาพฤติกรรมลูกค้าให้ดีๆ ถ้าทำงานล่วงหน้าไปปัญหาจะเกิดน้อย แต่หากการทำงานนี้มีหลายภาคส่วนที่ทำงานตามแผนล่วงหน้ากับเราไม่ได้ ก็ต้องหันกลับมามองว่าเราจะรับมืออย่างไรเมื่อโดนลูกค้าตาม

หรือถ้าสิ่งนั้นมันนอกเหนือขอบเขตก็อาจจะต้องบอกกับหัวหน้าของเราโดยตรง ว่ามันติดตรงนี้อยู่

ไม่มีใครชอบ ‘บรีฟไม่เคลียร์’

ในบางครั้งอาจต้องเจอลูกค้าบรีฟไม่เคลียร์ ขอแก้งาน หรืออยากได้ในสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในสโคปงานที่ตกลงกันตั้งแต่แรก หรือลูกค้าอยากได้ในสิ่งที่มีข้อจำกัด

หากบรีฟไม่เคลียร์ตอนแรกก็ฟังมาก่อน แล้วต้องตั้งคำถามกลับไปในแต่ละเรื่อง ซึ่งอาจจะต้องมีการโยนหินถามทางกลับไปว่าใช่อย่างที่เราเข้าใจไหม อีกฝั่งนั้นอยากได้ผลลัพธ์แบบนี้ไหม

หรือถ้าเขามั่นใจว่าตัวเองบรีฟเคลียร์แล้ว มีการวางแผน 1 2 3 4 เราก็ไปทำตามบรีฟที่เคลียร์นั้น

สำหรับการประชุมกับลูกค้าเสร็จแล้วเราต้องมีการทำ Recap อีกรอบ เพื่อเป็นการทำความเข้าใจว่ามีใครต้องทำอะไรบ้าง แล้วมีการส่วอีเมล์เพื่อยืนยันสิ่งนั้นๆ  ที่จะทำให้เราได้คอนเฟิร์มว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วกับลูกค้าในเบื้องต้น

หรือถ้าลูกค้าขอแก้บ่อยๆ เราก็อาจจะต้องบอกข้อจำกัดในเรื่องของ “เวลา” กลับไปว่าอาจจะปรับได้อีกแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

อย่าลืมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

ควรแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าเรามีความเข้าใจในเนื้องาน สามารถให้คำปรึกษาแนะนำในบางเรื่องที่เขาอาจมองเห็นในแง่มุมเดียวได้  แล้วพอเราแนะนำไปมันดีจนคิดว่าเราสามารถเป็นเพื่อนคู่คิดด้วยกันได้  มากกว่าการทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว เพื่อให้ไอเดียที่ลูกค้ามีกลายมาเป็นผลงานออกมาดีที่สุด

ในชีวิตของเรามีทั้งวันที่ดีและวันที่ต้องการกำลังใจ แต่อย่างไรก็ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการทำงานของตัวเองนะคะ