เป็นเรื่องน่ากังวลพอสมควรเลยทีเดียว กับสิ่งที่แบรนด์ Huawei ที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้า ชื่อของ Huawei กำลังก้าวไปได้ดีทั้งในตลาดไทยและตลาดโลก ซึ่งสาเหตุของปัญหาในครั้งนี้อย่างที่หลายคนทราบกันดีแล้วก็คือการเกิดจากความไม่ซื่อสัตย์นั่นเอง
โดยมีผู้บริโภคบางส่วนทำการทดสอบ และพบว่า “สเป็ค” ของสมาร์ทโฟนรุ่น Mate 9 และ P10 ไม่ตรงกับที่ได้โฆษณาเอาไว้ ก่อนจะตามมาด้วยการยอมรับของผู้บริหาร Huawei ว่าเป็นเพราะ Huawei มีการใช้ซัพพลายเออร์ที่หลากหลาย จึงทำให้ชิ้นส่วนของสมาร์ทโฟนอาจมาจากผู้ผลิตต่างค่ายต่างยี่ห้อกัน ดังที่ปรากฏในส่วนหนึ่งของการแถลงจากค่าย ดังนี้
“To meet global demand of millions of units, Huawei has employed the standard industry practice of sourcing solutions from multiple trusted suppliers to ensure a balance between user experience, quality and sustainable supply. Relying on a single component supply can lead to a shortage, meaning delays for consumers who wish to buy our new products. In the case of flash memory, in this instance, Huawei has chosen multiple simultaneous mainstream solution suppliers.
นอกจากความต่างค่ายต่างยี่ห้อแล้ว เรื่องของหน่วยความจำ ROM ที่เปลี่ยนไปจากสเป็คเดิม ก็เป็นสิ่งที่ผู้ซื้อแสดงความกังวลกันเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน ซึ่ง แทนที่ Huawei จะชี้แจงในจุดนี้ กลับกลายเป็นว่า ทางบริษัทเลือกที่จะปรับเปลี่ยนโฆษณาบนเว็บไซต์ใหม่ และตัดส่วนของ ROM ที่มีปัญหาออกไป ซึ่งโชคดีที่มีผู้ใช้งานบางส่วนนำภาพหน้าเว็บที่บันทึกไว้ได้ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงมาโชว์ให้เห็นถึงความแตกต่าง
ส่วนในเว็บไซต์ Pantip.com ก็กลายเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่เกิดดราม่า Huawei ตามมา เมื่อมีการตั้งกระทู้โดยนำเนื้อหาจาก Blognone มาโพสต์ แต่แล้วกระทู้ดังกล่าวได้ถูกลบไป โดยทีมงานเว็บมาสเตอร์ได้ชี้แจงว่า ทีมงาน Blognone เป็นผู้แจ้งลบ ซึ่งต่อมาทางทีมงาน Blognone ก็ได้ออกมาชี้แจงผ่านทาง Facebook FanPage ว่าไม่เคยแจ้งลบกระทู้ใด ๆ และไม่เคยติดต่อทีมงาน Pantip ดังที่ปรากฏ
ขณะที่ทีมงานเว็บมาสเตอร์ Pantip.com ก็ได้มาโพสต์ในเวลาต่อมาว่าได้ตรวจสอบแล้วว่าผู้ที่แจ้งไม่ใช่ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ จึงได้ทำการเปิดกระทู้ใหม่อีกครั้ง
โดยจุดสังเกตจากการเปิดเผยของ Pantip.com คือส่วนสีแดงที่ได้มีการวงเอาไว้ ว่าไม่ใช่อีเมลที่แท้จริงของทีมงาน Blognone เพราะอีเมลที่แท้จริงของ Blognone คือ admin@blognone.com ไม่ใช่ contact@blognone.com นั่นเอง ซึ่งในจุดนี้ได้มีผู้ทวงถามถึงความเป็นมืออาชีพในการดำเนินงานของ Pantip.com เป็นจำนวนมากด้วย
กสทช.ชี้ถือเป็นเครื่องเถื่อน ถ้าไม่ตรงตามที่ขออนุญาต
สำหรับในด้านคณะกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นายแพทย์ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า โดยปกติการขอนำเข้าอุปกรณ์โทรคมนาคมจะต้องได้รับใบอนุญาตนำเข้า ซึ่งสำนักงาน กสทช.จะต้องมีการรับรองมีการแสดงเครื่องหมาย (Label) เป็นการกำหนดหมายเลขทะเบียนวิทยุคมนาคมให้กับเครื่องวิทยุคมนาคม ที่ได้รับอนุญาตทำ หรือนำเข้ามาในประเทศ และผ่านการตรวจสอบลักษณะทางวิชาการจากสำนักงาน กสทช. แล้ว
นอกจากนี้ ต้องระบุข้อมูลบนเครื่องหมาย คือ หมายเลขทะเบียนวิทยุคมนาคม (Registration number) ซึ่งไม่ใช่หมายเลขของการทดสอบรับรองตัวอย่าง (Type approval number) ผู้ได้รับใบอนุญาตทำ หรือนำเข้า ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมที่ผ่านการทดสอบรับรองตัวอย่างแล้ว จะต้องส่งเครื่องวิทยุคมนาคมที่ได้รับอนุญาตทำ หรือนำเข้า ให้สำนักงาน กสทช.ดำเนินการตรวจสอบลักษณะทางวิชาการ และกำหนดหมายเลขทะเบียนวิทยุคมนาคม ดังนั้น ในกรณีหัวเว่ย ดังกล่าวนี้ต้องกลับไปดูเอกสารว่า มีการขอนำเข้าอุปกรณ์ที่ระบุมาในใบอนุญาตนำเข้าว่า ตรงกับที่ขออนุญาตหรือไม่ หากไม่ตรงตามเอกสาร อุปกรณ์โทรคมนาคมเหล่านั้น จะถือเป็นเครื่องเถื่อน
อย่างไรก็ดี นายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการ กสทช. สายงานกิจการโทรคมนาคม กล่าวถึงกรณีที่มีการร้องเรียนจากผู้ใช้โทรศัพท์มือถือหัวเว่ย เกี่ยวกับหน่วยความจำของหัวเว่ย รุ่น Mate 9 และ P 10 ว่า สเปกไม่ตรงกับที่วางจำหน่ายว่า โดยอำนาจของ กสทช.มีหน้าที่ตรวจสอบเฉพาะคลื่นความถี่ที่ตัวเครื่องส่งสัญญาณ ซึ่งจะมีการเช็กกับแลปในต่างประเทศว่า การส่งสัญญาณของเครื่องตรงตามที่ระบุว่า ในใบขออนุญาตหรือไม่ โดยการตรวจสอบก็เพื่อไม่ให้คลื่นความถี่รบกวนกัน โดยในกรณีดังกล่าว หากผู้บริโภคไปยื่นหนังสือร้องเรียนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ถือเป็นสิทธิของผู้บริโภค โดยแนวทางของ สคบ.ก็จะเชิญตัวแทนของสำนักงาน กสทช.ไปให้ข้อมูล
นอกจากนี้เมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. ของเมื่อวาน ได้มีการชี้แจงล่าสุดจาก Huawei Mobile ที่ระบุว่า
เรียน ลูกค้าคนสำคัญของหัวเว่ยทุกท่าน
หัวเว่ยได้ทราบถึงการพูดถึงเรื่องหน่วยความจำของ Huawei Mate 9 Series และ P10 Series จึงขอเรียนชี้แจง ดังนี้
UFS 2.1 เป็นมาตรฐานอินเทอร์เฟสที่กำหนด โดยสมาพันธ์ร่วมด้านวิศวกรรมชิ้นส่วนอิเลคตรอน (JEDEC) โดยทั้งมาตรฐาน UFS 2.1 (JEDEC Standard No.220C) และ UFS 2.0 (JEDEC Standard No.220 B) มีอัตราความเร็วเท่าเทียมกัน ระหว่าง 249.6 – 583.04 MB/วินาที หรือ 2496 – 5830.4 Mb/วินาที และ Huawei Mate 9 Series เป็นไปตามมาตรฐานอินเทอร์เฟสของ UFS 2.1
สำหรับ Huawei P10 Series หัวเว่ยมีมาตรฐานในการจัดหาชิ้นส่วนและเลือกใช้โซลูชั่นจากผู้ผลิตหลากหลายที่น่าเชื่อถือทั่วโลก เพื่อให้มั่นใจว่าหัวเว่ยจะสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภคควบคู่ไปกับการมีปริมาณการผลิตที่พอเพียงต่อความต้องการของผู้บริโภค
ในส่วนของเรื่อง DDR4 RAM บริษัทขอยืนยันว่า Huawei Mate9 Series และ P10 Series ใช้ DDR4 RAM
สำหรับคุณลูกค้าที่ใช้ Huawei Mate 9 Series และ P10 Series อยู่และมีความกังวลเกี่ยวกับสินค้า สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าหัวเว่ย สาขา เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ (เวลาให้บริการ 10.30 – 19.30 น.)
หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ประเทศไทย ขอยืนยันว่าเราดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงมาตรฐานสินค้าและความพึงพอใจของลูกค้าคนไทยทุกท่านเป็นสำคัญ
หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ประเทศไทย
จากการออกมาแถลงครั้งนี้ของ Huawei ทำให้ผู้เสียหายมีการเปลี่ยนสถานที่รวมตัวกันจากเดิมที่จะไป สคบ. เปลี่ยนเป็นห้างมาบุญครองในเช้าวันนี้แทน ซึ่งเชื่อว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเช้าวันนี้จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมากว่า Huawei จะแก้ไขสถานการณ์ด้วยวิธีใด
โดยมีการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่น่าสนใจในหัวข้อ Dealing with Difficult People และได้ให้คำแนะนำในการเจรจาในสถานการณ์ที่ยากลำบากเอาไว้ดังต่อไปนี้
– ควรเตรียมความพร้อมอย่างมากถึงบทสนทนาที่จะเกิดขึ้น หรือรูปแบบในการต่อรองที่จะเกิดขึ้น – ควรมีการปรึกษาองค์กร หรือหน่วยงานอื่น และใช้พลังขององค์กรเหล่านั้นร่วมในการเจรจาหรือกดดันด้วย
– การเจรจาไม่ควรให้เกิดเป็นลักษณะของการปะทะกันซึ่งหน้า แต่ควรให้อยู่ในรูปแบบว่าจะร่วมกันแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร
ข้อสุดท้ายของคำแนะนำจากฮาร์วาร์ด และเป็นสิ่งที่ผู้เขียนมองว่าสำคัญที่สุดของการเจรจาอาจเป็นความสามารถในการ “รักษาหน้าหรือภาพลักษณ์” ของคู่กรณี และหาทางลงที่เหมาะสมเอาไว้รองรับด้วย ซึ่งการทำเช่นนี้จะเกิดประโยชน์มากกว่าการรุกไล่จนคู่กรณีไม่มีทางถอย เพราะนั่นหมายถึงเขาจะต้องหันกลับมาตั้งป้อมต่อสู้อย่างเต็มกำลังนั่นเอง