เข้าสู่ช่วงปลายปีแบบนี้ ตลาดสมาร์ทโฟนรุ่นแบรนด์ดังต่างก็ปล่อยรุ่นเรือธงของตนเองออกมา เพราะกำลังจ่ายช่วงปลายปีของประชากรยังคงสะพัดกันอย่างดี และแน่นอนว่าฐานแฟนคลับของใครยังดีกว่าก็ย่อมสร้างยอดขายได้ดีต่อเนื่อง
มั่นใจเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี
นายทศพร นิษฐานนท์ รองผู้อำนวยการ หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ประเทศไทย เล่าว่า จุดเด่นที่ทำให้ Huawei โตขึ้นมาได้ เพราะชูเรื่องเทคโนโลยีได้ไม่แพ้เจ้าตลาดอย่าง Apple และ Samsung เมื่อไล่เรียงจากการเริ่มต้นลงสู้ในกลุ่มพรีเมียมในปี 2013 ด้วย หน้าจอ 6.1 นิ้วและแบตอึด ตามมาด้วย Mate7 ปี 2014 ที่มี Fingerprint เป็นรุ่นแรก ปี 2016 Mate 9 ที่มีระบบชาร์ตเร็วถึง 22.5 watt ตามมาด้วยปี 2017 รุ่น Mate10 ที่มี AI Chipset รุ่นแรกของโลก เมื่อมาถึงปีนี้ Mate 20 และ Mate 20 Pro ก็ยังเน้นเรื่องถ่ายภาพสวย 4 เลนส์ Chipset Kirin 980 และเหนือกว่าด้วยการปล่อยไฟชาร์จให้เพื่อนที่ใช้สมาร์ทโฟนรุ่นเดียวกันได้ด้วย
เทียบส่วนแบ่งตลาดแต่ละรุ่น
เมื่อเทียบยอดขายของภาพรวมตลาด 1.2 ล้านเครื่องต่อเดือน แบ่งเป็น กลุ่มพรีเมียม 40% กลุ่มมิดเดิล 40% และเอนทรี 20% ด้านสัดส่วนของหัวเว่ยเอง ขณะนี้ กลุ่มพรีเมียมอยู่ที่ 30% กลุ่มมิดเดิล 30% และเอนทรี 40% ซึ่งเป้าหมายจากนี้ถึงปี 2562 หัวเว่ยต้องการที่จะมีส่วนแบ่งตลาดเป็น กลุ่มพรีเมียม 30% กลุ่มมิดเดิล 40% และเอนทรี 30% คือขยับในส่วนของกลุ่มมิดเดิลให้มากขึ้นกว่าเดิมและลดส่วนแบ่งในกลุ่มล่างลง และแผนในอนาคตคือขยับส่วนแบ่งในกลุ่มพรีเมียมให้มากขึ้นเช่นกัน
“หัวเว่ยยังมีวางขายรุ่นมิดเดิลและเอนทรีอยู่เช่นเดิม ส่วนการเข้ามาทำตลาดของ Honor แม้จะมาจากบริษัทแม่เดียวกันแต่ก็แยกกันบริหารและทำการตลาดไม่ใช่มาแทนที่กัน จึงไม่ต้องกังวลว่าหัวเว่ยจะทิ้งลูกค้ากลุ่มกลาง-ล่าง”
ทั้งนี้ หัวเว่ยยังทิ้งท้ายว่า ปีนี้เป็นปีแรกในการนำ Pen เข้ามาขายในรุ่น Mate20X แต่ปีต่อไปก็อาจจะมีรุ่นใหม่ที่มีปากกามาวางขายอีก เพื่อดึงกลุ่มเกมเมอร์และธุรกิจได้พร้อมกัน ซึ่งหัวเว่ยจะไม่ได้ใส่ไว้ในเครื่องเหมือนแบรนด์คู่แข่ง ที่อาจเจอปัญหาเปราะบางหรือหักง่าย และจะแจกฟรีไม่ได้ขาย ทำให้ลูกค้าเลือกได้ว่าจะใช้ปากกาหรือไม่
มั่นใจยอดขายโตไม่หยุด
นอกจากนี้ นายทศพร ยังแสดงความมั่นใจเรื่องยอดขายว่าแย่งส่วนแบ่งตลาดเบอร์ 1 ได้ตามมาติดๆ
“หากมองเรื่องยอดขายในตลาดโลกยังคงเป็นเบอร์ 2 ท่ีมีส่วนแบ่งตลาด 15-16% และยังเดินหน้าตามแผนที่วางไว้ว่าในปี 2020 ต้องขึ้นเป็นเบอร์ 1 ให้ได้ ส่วนไทยก็ไม่ต่างกัน เมื่อเทียบปีต่อปี หัวเว่ยมีส่วนแบ่งตลาดเป็นเบอร์ 2 และสัดส่วนก็เป็น 2 ดิจิท ส่วนเหตุผลที่ก้าวขึ้นมาได้เพราะผู้นำตลาดมีส่วนแบ่งที่ลดลง คาดว่าการปล่อย Mate 20 ทั้ง 3 รุ่นออกมาการเติบโตน่าจะขึ้นได้เท่าตัวแล้ว”
สำหรับการตลาดสำหรับ Mate 20, Mate 20 Pro และ Mate 20X หัวเว่ยจะทุ่มงบตลาด 3 เท่าหรือเพิ่มจากเดิมถึง 300% เพื่อสู้ศึกปลายปีครั้งนี้ จากสภาพเศรษฐกิจและสีสันช่วงปลายปีน่าจะมีสิ่งดีๆ ที่เพิ่มการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพราะผู้บริโภคเองถ้าไม่ใช่ฐานแฟนของแบรนด์ ต่างก็ยังรอเรื่องการตัดสินใจ เปรียบเทียบความสามารถเครื่อง ราคาและของแถม ซึ่งสัดส่วนในกลุ่มนี้มีมาก ทำให้ทุกแบรนด์ต่างก็มีโอกาส และหัวเว่ยเองก็รอโอกาสนี้
“การตลาดรอบนี้จะชัดเจนขึ้นเรื่องทาร์เก็ตกรุ๊ปของสินค้าแต่ละโมเดล สำหรับ Mate20 นี้ จะเจาะกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่ที่มีครีเอทีฟสูง ให้ทำงานและใช้ชีวิตได้สะดวกขึ้นพร้อมกัน”
งานนี้ศึกสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงจะกลับมามีสีสันอีกครั้ง ต้องรอดูว่าใครจะรักษาฐานหรือเพลี่ยงพล้ำกันบ้าง ต้องจับตาดูกันค่ะ