Site icon Thumbsup

[วิเคราะห์] สรุปเหตุการณ์ Huawei ทำไมจึงมาถึงจุดที่ Donald Trump ถอนการค้ากับจีน

ยังคงเป็นข่าวร้อนตลอดสัปดาห์ สำหรับกรณีข่าวด่วนของ Donald Trump ที่ออกประกาศแบน Huawei และสั่งให้แบรนด์เทคโนโลยีชั้นนำมากมาย ถอนตัวออกจากความร่วมมือกับบริษัทยักษ์เทคโนโลยีของจีน

ทางทีม Thumbsup จะมาสรุปเหตุการณ์และสิ่งที่เกิดขึ้นว่า อะไรเป็นตัวจุดชนวนจนเป็นกระแสข่าวใหญ่กระทบภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลกขนาดนี้

เริ่มต้นจาก ZTE ที่จบสวย

มูลเหตุการตัดสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนนั้น ต้องเรียกว่าเริ่มต้นจากการตัดความสัมพันธ์กับ ZTE บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอันดับต้นๆ ของจีน ที่รัฐบาลสหรัฐระบุว่า ZTE ทำธุรกิจกับอิหร่านและเกาหลีเหนือ ฝ่าฝืนคำสั่งของสหรัฐ

ทำให้ ZTE ถูกเพิกถอนสิทธิ์การส่งออก และ ZTE ไม่สามารถเปิดบริษัทผลิตชิ้นส่วนในสหรัฐต่อไปได้

และเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้ ZTE ต้องยอมจ่ายเงินค่าปรับ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐและเปลี่ยนบอร์ดบริหารภายใน 30 วัน โดยจะมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนในการคัดเลือกบอร์ดบริหารชุดใหม่

รวมทั้ง ZTE จะต้องมอบเงินประกันความเสียหายให้แก่สหรัฐเพิ่มอีก 400 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อทำสัญญาใหม่ตามที่สหรัฐต้องการ

แต่ทีมรัฐบาลยังสับสนกับท่าทีของ Trump ทำให้พวกเขาไม่สนับสนุนในข้อเสนอที่ Trump ยื่นให้แก่ ZTE

แต่เรื่องก็รุกลามมากขึ้น เมื่อสหรัฐยังพบว่า ZTE ไม่จริงใจกับการแก้ไขปัญหาและยังทำธุรกิจกับทางอิหร่านและเกาหลีเหนือต่อไป

ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐจึงเรียกเงินค่าปรับเกือบ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และยกเลิกข้อตกลงเดิมทั้งหมด

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาต่อเนื่องเรื่อยๆ จนมาถึง มิถุนายน 2018 ที่เจ้าหน้าที่ Wilbur Ross เดินทางไปปักกิ่งด้วยตัวเองเพื่อเจรจาจบปัญหาต่างๆ

ทำให้สัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน ก็ได้ยุติการคว่ำบาตรและการลงโทษกับทาง ZTE ปิดปีรายได้ของบริษัท อยู่ที่ 17,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และค่าปรับยังคงอยู่ที่ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐคิดเป็น 6% ของรายได้ต่อปี ทำให้ทั้งสองประเทศยังรักษาธุรกิจต่อกันได้

มหากาพย์ Huawei

สำหรับปัญหาของ Huawei นั้น เรียกว่าทับซ้อนกับกรณีของ ZTE มาติดๆ โดยเริ่มต้น มกราคม 2018 ที่ Huawei ยุติดความร่วมมือกับ AT&T บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ของสหรัฐ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลทางการค้าเมื่อ Huawei ยังคงทำยอดขายแซง Apple ขึ้นเป็นอันดับ 2 ในตลาดสมาร์ทโฟน รองจาก Samsung

สัดส่วนรายได้ของ Huawei ที่ประกาศในเอกสาร Annual Report 2018 พบว่า มาจากกลุ่ม Consumer Business ถึง 48.4% Carrier Business 40.8% และ Enterprise Business 10.3% ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ล้วนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาทั้งสิ้น

สัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ บ่งบอกถึงการก้าวขึ้นเป็นผู้นำแทนที่ Apple ในกลุ่มสมาร์ทโฟนหากจบปี 2019 นี้

ซึ่ง Huawei ยังคงมั่นใจในนวัตกรรมและเทคโนโลยีหลายด้าน เช่น Wireless Charging, AI, กล้องถ่ายรูป ฯลฯ ซึ่งคิดค้นมาก่อนคู่แข่งจนกลายเป็นโอกาสที่ก้าวไปได้เร็วขึ้น

แม้ว่า AT&T จะกลับมาประกาศความร่วมมือกันอีกครั้งกับ Huawei ในงาน CES2018 แต่ Richard Yu ก็ยังสงวนท่าทีต่อการเดินหน้าตลาดสหรัฐ เห็นได้จากการขึ้นกล่าวในงาน CES2018 ว่า

“น่าเสียดายที่ยังไม่มีความร่วมมือครั้งใหม่เกิดขึ้น สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการใช้งานสมาร์ทโฟนของเรา”

โดยก่อนหน้างานมหกรรมเทคโนโลยีระดับโลกจะเกิดขึ้นนั้น ทาง Australia และ New Zealand ประกาศว่าจะไม่ร่วมเดินหน้าเทคโนโลยี 5G กับทาง Huawei เพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย

จากนั้นไม่นาน Meng Wanzhou ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Huawei ได้ถูกจับที่เมือง Vancouver ประเทศ Canada

การฟ้องร้องเดินหน้าอย่างรวดเร็ว เพียง 6 วัน มีการไต่สวนและเปิดเผยว่า การจับกุม Meng Wanzhou นั้น เป็นไปตามข้อหาฉ้อโกงที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดการคว่ำบาตรของสหรัฐต่ออิหร่าน

โดย BT ออกมายืนยันก่อนวันคริสต์มาสว่าโค้ดบางอย่างในอุปกรณ์ของ Huawei นั้น ถูกลบออกจากระบบหลังบ้านของโครงสร้างระบบการสื่อสารสำหรับบริการฉุกเฉินของสหรัฐ

เปิดมาหลังหยุดปีใหม่ได้ไม่นาน ทาง Huawei เองก็ได้จับกุมพนักงานของเขาเองใน Poland เนื่องจากสงสัยว่าจะเป็นคนนำข้อมูลภายในไปให้แก่รัฐบาลของสหรัฐ

28 มกราคม เจ้าหน้าที่ของสหรัฐได้แจ้งข้อหาฉ้อโกงแก่ Meng Wanzhou ในกรณีคว่ำบาตรจากการค้ากับอิหร่าน และได้ส่งตัวเธอให้แก่สหรัฐ

โดยทีม Huawei เองก็ได้ลงโฆษณาในนิตยสาร Wall Street Journal ว่า “อย่าเชื่อในสิ่งที่คุณได้ยิน”

ฟ้องมาฟ้องกลับ

จนมาถึง 4 มีนาคมทาง Meng Wanzhou ได้ฟ้องกลับรัฐบาล Canada ว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะจับกุมเธอ และชาวจีนโต้กลับด้วยการจับกุมเจ้าหน้าที่ของ Canada เพื่อเป็นการโต้ตอบที่เธอโดนืแจ้งข้อหาขโมยความลับทางการค้าแบบไม่ยุติธรรม

จนเมื่อวันที่ 7 มีนาคม Huawei ตัดสินใจฟ้องรัฐบาลสหรัฐที่สั่งให้ยุติการใช้ผลิตภัณฑ์ของตน เพราะ Huawei ถือว่าเป็นผู้ที่ลงทุนด้าน R&D มากถึง 13,200 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการสร้างเครือข่าย 5G และนวัตกรรมในการแข่งขันพรีเมียร์ลีกครั้งที่ผ่านมา

จนมาถึงล่าสุด คือ Trump ออกประกาศชัดเจนว่ายุติการทำงานร่วมกันและส่ังให้บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติอเมริกา เลิกซื้อสินค้าของ Huawei ทันที แน่นอนว่าที่ขานรับมาคือ Google ซึ่งเป็นแกนหลักสำคัญในการพัฒนาระบบปฏิบัติการณ์ Android ทำให้หลายบริการของ Google จะใช้งานไม่ได้ และไม่ได้อัพเกรดสำหรับ Patch ต่างๆ ในอนาคต

และในวันนี้ ทาง CEO ใหญ่ของ Huawei อย่างนาย Ren Zhengfei ออกมาโต้กลับชัดเจนว่า การกระทำของสหรัฐนั้นไม่ได้กระทบกับธุรกิจของ Huawei เลย เพราะเขาได้พัฒนาระบบปฏิบัติการณ์ของตนเองไว้พร้อมแล้ว และสามารถใช้งานแทน Android ได้แทบจะทันที

แต่ทีม Huawei ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับทาง Google จึงไม่อยากให้เดินทางไปถึงจุดนั้น และก็ยังคาดหวังว่าปัญหาดังกล่าวจะจบลงได้อย่างสวยงาม ส่วนการที่ประกาศออกมาว่าจะมีเวลาให้เรา 150 วันสำหรับการดำเนินการธุรกิจให้จบลงด้วยดีนั้น ทาง Huawei อยากจะบอกว่า “มันไม่จำเป็น”

ที่มา: Mashable , MSN, Irishexaminer, reuter, Developertech, BBC, CCN