Site icon Thumbsup

“คิดงานไม่ออก” เป็นสัญญาณของการหมดไฟ จริงหรือเปล่า ?

เรามักได้ยินบ่อยกับคำว่า “หมดไฟ” แล้วหลายคนก็กลัวมัน เพราะมันเหมือนความมืดบอดในเส้นทางการทำงาน ซึ่งจุดเริ่มต้นที่เรียกว่าสัญญาณของการหมดไฟนั่นก็คือ “คิดงานไม่ออก” คิดยังไงก็คิดไม่ออก

ในหัวเต็มไปด้วยคำถามว่า ใช่จริงๆ เหรอกับสิ่งที่ทำอยู่, เราชอบจริงๆ มั้ย, ทำไมเราไม่มีพลังกับการทำสิ่งนี้เลย ซึ่งพอเกิดคำถามแบบนี้ในหัวบ่อยๆ พลังเราก็ยิ่งลดลง จนกลายเป็นหมดไฟไปในที่สุด

สิ่งนี้ไม่ได้เกิดกับอาชีพใดอาชีพหนึ่ง แต่เกิดได้กับทุกๆ อาชีพ ยิ่งกับเจ้าของธุรกิจที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้จะสร้างเม็ดเงินเพียงพอกับทุนที่ลงไปหรือเปล่า เราเลยอยากมาแชร์แนวทางทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นเป็นความรู้สึกที่ผลักดันให้เราได้คำตอบและ Positive thinking ขึ้น

ไม่มีอะไรเป็นไปได้แบบที่ใจคิด

ความไม่สมบูรณ์แบบคือเรื่องธรรมชาติ การจะทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจเราคิดซะหมด คงเป็นไปไม่ได้ ปัญหานี้มักเกิดขึ้นบ่อยสำหรับเด็กจบใหม่ เพราะตอนเรียนเราเรียนจากสิ่งสมมุติ

หรือต่อให้ลงมือทำงานจริง ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งไม่ได้แบกรับความรับผิดชอบทั้งหมด อะไรที่ผิดพลาด จำเป็นบทเรียน การจะบอกว่าอย่าผิดซ้ำคงยาก เพราะบางครั้งเราไม่ได้ตระหนักถึงปัญหาแต่เรารู้แค่ว่ามีปัญหาและแก้ไข

ฉะนั้นให้ถามตัวเองเสมอว่า “ทำไมเราถึงทำสิ่งนี้ มีเหตุผลอะไร” ต่อให้เรานึกเหตุผลไม่ออกก็มีเหตุผลซ่อนในนั้น แสดงถึงว่าเรากำลังเข้าใจตัวเองมากขึ้น เหมือนรู้จักตัวเองในมุมที่ตัวเราก็ไม่เคยเห็นมาก่อน

ยิ่งเรารู้ที่มาที่ไปของการกระทำตัวเองเท่าไหร่ เราจะยิ่งตระหนักถึงปัญหาและค่อยๆ แก้ไขให้ดีขึ้น ไม่ต้องรีบแก้ไขหรือรับปากเลยว่าจะไม่ทำอีก แค่บอกว่าจะปรับปรุงให้ดีขึ้นพอ เพราะบางอย่างไม่ได้แก้ไขได้ภายในครั้งเดียว

 

อุปสรรคคือสิ่งที่ทำให้เราเติบโต

ไอเดียตัน ภาวะน่าเบื่อแต่เป็นกันทุกอาชีพ เราคิดงานไม่ออกแล้วคำถามด้านลบก็เต็มเข้ามาในหัว แต่เดี๋ยวก่อน มันเป็นเรื่องปกติมากๆ ที่เราจะคิดไม่ออก โจทย์ปัญหาที่เราเจอในแต่ละวันมันแทบไม่ซ้ำกันเลย เราจะไปรู้จักทุกอย่างบนโลกคงไม่ได้

ฉะนั้นการคิดอะไรไม่ออก เป็นเรื่องปกติ อย่าตื่นกลัวมากจนเกินไปเพราะทุกอย่างจะยิ่งแย่ สิ่งที่ควรทำคือ พักก่อน แล้วหาเหตุผลว่าเราคิดงานนี้ไม่ออกเพราะอะไร เช่น เป็นสินค้าที่เราไม่เคยรู้จักใช่ไหม หรือเราไม่อินกับตัวสินค้าเอง พ้อยท์คือทำยังไงให้เรารู้สึกอินสินค้าตัวนี้

ซึ่งวิธีแก้คงมีหลายอย่างเช่น ลองใช้สินค้านี้ก่อน หรืออ่านข้อมูลเยอะๆ จนถูกซึมซับไปเอง ลองลิสต์หลายๆ วิธีและลองทำดู ถ้าเราทำแบบไหนแล้ว เวิร์คแสดงว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดของเรา

สิ่งที่พูดไปก็คือ การรู้ปัญหา การตระหนัก และการแก้ไข เพื่อหาวิธีที่ดีที่สุด

 

ถ้าไม่ใช่ งั้นพักก่อน

เมื่อเราลองทำตามที่แนะนำแล้วแต่ยังไม่เวิร์ค ลองพักก่อน บางทีสมองคิดอะไรมากเกินไปก็ต้องล้าเป็นธรรมดา พักแล้วค่อยมาถามตัวเองดูว่าเราจะอยู่กับสิ่งนี้ได้นานแค่ไหนอยากเรียนรู้อีกมั้ย

ถ้าคำตอบคือมันไม่ใช่จริงๆ ก็หาลู่ทางกับสิ่งใหม่ได้เลย หรือหาสิ่งที่เรามีความสุขในงานนั้นๆ อยากจะบอกกับทุกคนว่า ความฝันมีอุปสรรคเป็นล้าน แค่ไม่มีคนมาบอก

ฉะนั้นสิ่งที่เราฝันเอาไว้มันไม่มีอะไรง่าย การคิดงานไม่ออก จนจมดิ่งไปกับปัญหามากไปไม่มีประโยชน์เลย แต่สาเหตุของปัญหาว่าคืออะไรแล้วหาวิธีแก้จะดีที่สุด

 

การหมดไฟมันไม่ใช่แค่เราหมดพลังไปกับการทำงาน แต่เหมือนหมดพลังชีวิตไปด้วยเพราะงานเป็นส่วนสำคัญในชีวิตเรา ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าเกิดปัญหาและเป็นบ่วงติดใจ ให้ลองทำวิธีด้านบนดู เป็นวิธีที่ทำให้เราคุยกับตัวเองได้ดีขึ้น และเข้ารู้จักตัวตนของเรามากขึ้นด้วย