เป็นกระแสร้อนแรงทีเดียวสำหรับคอลเลคชั่นใหม่ของอิเกียที่ร่วมมือกับ Virgil เปิดคอลเลคชั่นที่ชื่อว่า Markerad (มาร์เคียรัด) ที่แถวยาวตั้งแต่การเปิดวันแรกให้มาต่อคิวจองและซื้อตั้งแต่ 8 โมงเช้า แต่สินค้าบางรายการกลับหมดก่อนเวลาห้างเปิดเสียอีก แถมผู้บริหารยังกล่าวย้ำด้วยว่า “หมดแล้วหมดเลย ไม่มีผลิตซ้ำ” ยิ่งทำให้นักช้อปที่ชอบสินค้าคอลเลคชั่นนี้ เศร้าใจกันไป
ทำความรู้จัก Markerad
คอลเลคชั่น Markerad หรือ มาร์เคียรัดนั้น เกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่างเวอร์จิลและอิเกีย ในการสำรวจรูปแบบการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ที่เริ่มแต่งบ้านหลังแรกของตัวเอง ทั้งกลุ่มคนโสด คู่รักหรือแม้แต่คนที่อาศัยอยู่กับผู้อ่านที่มีการผสมผสานระหว่างงานดีไซน์โมเดิร์นกับคอมเทมโพรารี่
โรโมโล บราโวโค Visual Merchandiser อิเกีย บางนา (คนเสื้อขาวตรงกลาง) เล่าว่า คอลเลคชั่นนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างการตกแต่งที่ไม่แบ่งพื้นที่แบบเดิม ไม่มีขอบเขตแยกระหว่างห้องนอน ห้องนั่งเล่นหรือห้องทำงาน แต่ต้องใช้พื้นที่ได้เต็มพื้นที่ นั่นจึงเป็นความท้าทายของคำว่า “บ้าน” ที่ไม่จำกัดการออกแบบ
การทำงานกับเวอร์จิล ได้มองข้ามข้อจำกัดของศิลปะแขนงต่างๆ เขาไม่ได้จำกัดแค่การออกแบบแฟชั่นเท่านั้น แต่เขาสามารถหลอมรวมความสวยงามระหว่างศิลปะระดับสูงกับวัฒนธรรมที่หลากหลาย และเฟอร์นิเจอร์ในคอลเลคชั่นนี้จึงได้ออกมาอย่างหลากหลาย
สำหรับคอลเลคชั่นนี้จะวางขายที่ไทย สิงคโปร์และมาเลเซียก่อนประเทศอื่นๆ
ตลาดโฮมยังเติบโต และจะเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ เช่นเดียวกับในมาเลเซีย
เมื่อพูดถึงในแง่ธุรกิจกับคุณรอย เดวาร์ ผู้จัดการสโตร์ อิเกีย เล่าให้ฟังว่า ตลาดเฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่งบ้านของไทยยังมีการเติบโตที่ดีมาก แม้อิเกียจะเข้ามาไทยได้เพียง 8 ปี แต่เส้นทางธุรกิจของเราเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1943 จากธุรกิจเล็กๆ ในสวีเดนสู่การขยายเครือข่ายออกไปทั่วโลกวันนี้เรามีอายุกว่า 76 ปีแล้ว
คุณรอย ยังเล่าอีกว่า ความต้องการสินค้ากลุ่มนี้ในคนไทยนั้น คล้ายกับที่มาเลเซียคือ ต้องการสินค้าที่นำไปปรับใช้กับสภาพแวดล้อมของที่บ้านเอง มีการดีไซน์ที่ทันสมัยและติดตั้งเองได้ ซึ่งในแต่ละปีทางอิเกียจะมีการปรับเปลี่ยนคอลเลคชั่นเล็กๆ ประมาณ 4 ครั้งตลอดทั้งปี แต่คอลเลคชั่นนี้เรียกว่าเป็นคอลเลคชั่นครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น 2 ปีครั้งและจะเป็นแบบลิมิเต็ดอิดิชั่นคือหมดแล้วหมดเลยไม่มีผลิตซ้ำอีก ซึ่งคนที่ซื้อสินค้าไม่ทันทางอิเกียจะให้เป็นบัตรกำนัลสำหรับการมาซื้อของครั้งต่อไป
นอกจากนี้ ทางอิเกียยังมีความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อีกหลายราย เช่น พาร์ทเนอร์ไทยอย่าง Greyhound หรือการทำสมาร์ทโฮมกับ Sonos รวมถึงมีการพูดคุยกับทาง Lego ในการออกสินค้าใหม่สำหรับกลุ่มครอบครัวเช่นกัน
ช่องทางออนไลน์ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น
การเติบโตของอิเกียยังมาจากช่องทางออนไลน์ด้วย โดยหลังจากเปิดให้บริการช่องทางออนไลน์ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีการกระตุ้นให้คนเข้ามาเดินดูสินค้าจริงเพิ่มขึ้น 12% ก่อนจะไปสั่งซื้อออนไลน์ โดยช่วงเวลาที่คนเข้ามาดูสินค้าเยอะที่สุดคือช่วง 00.00-02.00 น. มีการสั่งซื้อเฉลี่ยวันละ 150-200 ออเดอร์ต่อวันและมีโอกาสทางรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 400%
นอกจากนี้ นักช้อปชาวไทยยังนิยมสั่งโซฟา เตียงนอน ตู้เสื้อผ้าผ่านเว็บไซต์ออนไลน์มากขึ้น ไม่เพียงแค่ซื้อแอคเซสเซอรี่ และยังมีกลุ่ม IKEA for Business ที่เป็นเจ้าของธุรกิจ SME ที่สั่งซื้อสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซของอิเกียมากขึ้น หรือมาดูสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อออนไลน์เพราะไม่ต้องการแบกของกลับร้านเอง
ซึ่งค่าบริการในการหยิบสินค้ายังอยู่ในระดับที่เท่ากันคือ 200 บาท/ออเดอร์ จะมีเฉพาะที่ภูเก็ตเท่านั้นที่ไม่เสียค่าบริการในการหยิบสินค้า แต่ทางอิเกียเองก็ยังมองหาพื้นที่ที่น่าสนใจในการขยับขยายสาขาเพิ่มเติม ให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า แม้ว่าตอนนี้จะมีสาขาแค่ในกรุงเทพ เชียงใหม่และภูเก็ต