Facebook กับ Like เป็นสิ่งที่เกิดมาคู่กันและแยกกันไม่ได้ และ Facebook ก็ถูกธุรกิจต่างๆ นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความน่าเชื่อถือและการกระจายข่าวสาร แต่อย่างที่บอกไปในประโยคแรกว่า Like และ Facebook นั้นเป็นของคู่กัน เลยทำให้แบรนด์ต่าง ๆ แทบจะทั้งหมดหันมายึดติดกับจำนวน Like ที่เกิดขึ้นบน Page
เรื่องของเรื่องคือผมไปเจอบทความของ Jon Loomer ที่เขียนถึงเรื่องเกี่ยวกับจำนวนการกด Like บนหน้า Facebook Page ได้อย่างตรงไปตรงมาและน่าสนใจ และเป็นสิ่งที่ผมจะได้ยินคำถามนี้อยู่บ่อย ๆ เมื่อผมได้มาทำงานเกี่ยวกับด้านนี้มากขึ้น
Like นั้นสำคัญไฉน
เจ้าของ Page หรือแม้แต่เจ้าของข้อความคงไม่มีใครที่จะไม่ชอบมัน เพราะการกด Like นอกจากว่าจะเป็นการแสดงความชื่นชอบ, การเห็นด้วยแล้ว ในแง่ของ Page นั้น Like หน้า Page คือการกดเพื่อบอกว่าเรายินยอมที่จะติดตามรับข่าวสารต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนหน้า Page ซึ่งพูดได้ไม่เต็มปากว่าคนที่กด Like หน้า Page นั้นจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม เพราะเราอาจเจอกลเม็ดจากรางวัลหรือแอพพลิเคชันที่ล่อให้เราเข้ามากดและ “จำยอม” เป็น 1 ในสมาชิกนั่นเอง
แต่จะด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ เจ้าของ Page ก็ยิ้มกริ่มกับจำนวนที่เพิ่มขึ้นอยู่ดีใช่ไหมครับ
ยิ่งจำนวน Like ของ Page เยอะยิ่งดี!
ไม่ต้องแปลกใจว่าเจ้าของ Page แทบจะร้อยละร้อยคิดไปในทางเดียวกันว่า ยิ่งเรามีจำนวน Like มากเท่าไหร่ ยิ่งดีกับตัวเรา(แบรนด์) ความเข้าใจนี้ไม่ผิดครับ เพราะเท่ากับว่ายิ่งคุณมีมากเท่าไหร่ คุณยิ่งสามารถที่จะกระจายข่าว (Amplify) ได้มากขึ้นและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลของกลุ่มคนที่มากด Like เรามากขึ้น
สู่ประเพณีการซื้อ Like
แน่นอนว่าการได้มาของ Like บน Facebook ในเมื่อเปิด Page ครั้งแรก ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากที่เราจะชวน พ่อ, แม่, ญาติ, เพื่อนทั้งหลายแล้วก็คงยังไม่ถึงหลักพันหลักหมื่นได้แน่ๆ ด้วยตัวเลขที่คนส่วนใหญ่ตั้งเป้าหมายหรือ KPI เอาไว้ ก็คงเป็นหลักหมื่นหรือหลักแสนแน่นอน ทางเดียวที่จะสามารถทำยอด Like ได้อย่างรวดเร็วนั่นคือการใช้สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า เงิน นั่นเอง
การใช้เงินนั้นก็มีทั้งด้านสว่างและด้านมืด ด้านสว่างก็คือการเอาเงินไปให้กับ Facebook เพื่อแลกกับพื้นที่โฆษณา จะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับความหนาของกระเป๋า ส่วนด้านมืดก็ไม่พ้นการปั่น Like จากโปรแกรมต่างๆ ที่มีโฆษณาให้เห็นตามเว็บบอร์ด…เฉพาะทาง ซึ่งก็ทำให้จำนวน Like ไปถึงตามเป้าหมายได้ไม่ยาก…
ยอด Like กินไม่ได้ แต่ขอมีให้เท่ไว้ก่อน
หลายแบรนด์คิดแต่จะเอายอดจำนวน Like ของ Page เพื่อเอาไปคุยโวว่าตอนนี้มีกี่ Like แล้ว หรือใช้แม้กระทั่งเอาไว้เกทับกับคู่แข่งรายอื่นๆ ซึ่ง Page ที่เป็นแบรนด์ส่วนใหญ่ที่มียอด Like เพิ่มสูงขึ้นแบบไม่มีเหตุผล คนที่มา Like ก็คงหนีไม่พ้นคน “ต่างถิ่น” หรือ “ต่างโลก” ที่ถูกเกณฑ์มาให้กด Like เพื่อให้เป็นตัวเลขตามที่ต้องการ…
จนบางทีอาจลืมไปว่าแท้ที่จริงแล้วเราสร้าง Facebook Page ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ใดกันแน่ ?
ความสัมพันธ์ของคนที่ติดตามกับธุรกิจที่ทำ
Jon Loomer เขียนความสัมพันธ์ง่ายๆ ดังนี้
Fans are users. Users are people. People aren’t robots. People lead to business.
เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องตีความหมายอะไรเพิ่มเติม เพราะคนจริงๆ นี่แหละที่จะสามารถนำไปสู่ธุรกิจได้ หาใช่ได้จากแฟนที่มาจาก “ต่างถิ่น” หรือ “ต่างโลก”
สิ่งที่ต้องคิดเป็นอันดับแรกเริ่มในการทำธุรกิจบน Facebook นั่นคือ การที่จะกำหนด Value Proposition หรือคุณค่าที่จะนำเสนอออกมาควรจะต้องคิดออกมาอย่างชัดเจนว่า เราจะมีแนวทางไปในทางใด และแนวทางอะไรที่เหมาะสมกับแบรนด์หรือ Page นั้นๆ ไม่ใช่การคิดว่าจะเอาจำนวน Like เท่าไหร่
สิ่งเราจะให้อะไรกับคนที่จะมาติดตามเราหรือทำให้เขาเข้ามาติดตามเรา นั้นจะมีอะไรได้บ้างในช่วงเริ่มต้น เช่น เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์และมีคุณค่าต่อคนส่วนใหญ่ หรือเนื้อหาที่ช่วยเหลือบางอย่างให้กับคนทั่วไป ที่มีจุดเด่นที่แตกต่างจากที่อื่นๆ โดยต้องทำอย่างสม่ำเสมอ
ความสม่ำเสมอนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และอาจต้องใช้ระยะเวลาสักพักในการทำ เพราะเมื่อทำไปเรื่อยๆ แล้วก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ติดและช่วยบอกต่อหากเนื้อหาของเรานั้นดีพอ ซึ่งก็จะช่วยกระจายต่อไปในวงที่กว้างขึ้น และหลังจากนั้นแล้วเมื่อเข้าที่เข้าทางจึงค่อยๆ นำแบรนด์ของเรามาครอบลงไปทีละน้อยจนทำให้เนื้อหานั้นครอบคลุมกับแบรนด์ทั้งหมด นั่นคือการทำให้ดันเข้าสู่ธุรกิจของแบรนด์นั้นๆ ได้ จึงค่อยทำขั้นตอนต่อไป
เติบโตและขยายสู่กลุ่มคนที่ยังเข้าไม่ถึง
เมื่อเราได้ฐานของคนที่สนใจพอประมาณแล้ว จะได้กลุ่มฐานคนที่พร้อมจะรับฟังจริงๆ สิ่งที่เราต้องทำคือการสร้างเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง โดยที่เราต้องทำก็คือยังคงสร้างเนื้อหาที่ดีต่อไป โดยที่อาจจะใช้เทคนิคต่างๆ เข้ามาช่วย เช่น การเปิดโอกาสให้คนที่เป็นแฟนๆ ของเราได้มาร่วมสร้าง หรือมีการทำกิจกรรมอย่างอื่น ที่นอกเหนือจากการให้เนื้อหาอย่างปกติ ซึ่งก็แล้วแต่แนวทางและกลยุทธ์ของเจ้าของ Page แต่ละราย
และถึงจุดนี้แล้วเราน่าจะประเมินได้ว่ากลุ่มคนเป้าหมายที่แท้จริงของเรานั้นเป็นใคร และเป็นอย่างไร ดังนั้นการขยายฐานนอกเหนือจากการทำเนื้อหาที่ดีนั่นก็คือการลงโฆษณาเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนเป้าหมายที่ยังไม่รู้จักเรา หรือขยายฐานของกลุ่มคนที่น่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะมาเป็นคนที่ติดตาม Page ของเราได้นั่นเอง
และเราก็จะสามารถนำกลุ่มคนเหล่านี้เข้าไปสู่ธุรกิจได้อย่างง่ายดายขึ้น
นานหน่อยแต่ยั่งยืน คือข้อสรุป
ไม่มีอะไรที่ได้มาอย่างง่ายดาย การทำ Facebook ก็เช่นกัน เราจะต้องกำหนดหรือวางแผนกันอย่างชัดเจนตามที่กล่าวข้างต้น การซื้อ Like หรือโฆษณาในช่วงแรกนั้นอาจเป็นศูนย์ หากเราไม่เริ่มคิดสิ่งที่เราจะทำให้กับคนที่จะมาเป็นแฟนของ Page เรานั้นได้ประโยชน์มากที่สุด จนทำให้ Page สามารถเติบโตได้ด้วยเนื้อหามากกว่าด้วยเงินตราและผันเข้าสู่ธุรกิจ ซึ่งระยะเวลาอย่างที่บอกว่าจะนานหรือเร็วขึ้นอยู่กับการวางแผนและตัวเนื้อหาว่าเป็นประโยชน์หรือมีจุดเด่นที่แตกต่างจาก Page อื่น ๆ ขนาดไหน
การปั่นให้ Like สูงๆ เป็นแค่การสร้างตัวเลข หาเป็นความยั่งยืนและเกี่ยวกับธุรกิจไม่
ที่มา: Jon Loomer