วีโร่ (Vero) บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำด้านการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ และการตลาดดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้สำรวจความเป็นไปของอินฟลูเอนเซอร์ในยุคปัจจุบันและแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 หลังพบว่า การตลาดอินฟลูเอนเซอร์กลายมาเป็นกลยุทธ์สำคัญในการทำการตลาดของแบรนด์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ ผลวิจัยฉบับใหม่หัวข้อ “ผลกระทบ การมีส่วนร่วม และอนาคตของการตลาดอินฟลูเอนเซอร์: มุมมองจากอินฟลูเอนเซอร์ (“Impact, Engagement, and the Future of Influencer Marketing: Insights from Influencers”)” เก็บข้อมูลจากอินฟลูเอนเซอร์เกือบ 150 คนในอินโดนีเซีย ไทย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยครอบคลุมช่วงอายุ ประสบการณ์ กลุ่มเนื้อหา และฐานผู้ติดตาม
ผลสำรวจนี้เผยข้อมูลเชิงลึกที่แบรนด์ควรรู้เกี่ยวกับแรงจูงใจและความต้องการของอินฟลูเอนเซอร์ในปัจจุบัน รวมถึงวิธีการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพในปี 2568 และอนาคต
เนื่องจากการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ยังคงเติบโตและซับซ้อนยิ่งขึ้น ด้วย 72% ของอินฟลูเอนเซอร์ที่สำรวจลงเห็นว่า ความต้องการเนื้อหาสปอนเซอร์เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า เอกสารไวท์เปเปอร์นี้จึงเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์ โดยไม่ทำลายความไว้วางใจระหว่างอินฟลูเอนเซอร์กับผู้ติดตาม
ข้อมูลสำคัญจากการสำรวจของวีโร่ มีดังนี้
โลกดิจิทัลที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การเล่าเรื่องคือสิ่งที่ทำให้เหล่าอินฟลูเอนเซอร์โดดเด่น
- 78% ของอินฟลูเอนเซอร์ที่เข้าร่วมการสำรวจใช้ Instagram
- 82% ใช้ TikTok เป็นแพลตฟอร์มหลักหรือรองสำหรับคอนเทนต์ของพวกเขา
เมื่อแพลตฟอร์มเหล่านี้เต็มไปด้วยผู้ใช้ที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น การเล่าเรื่องที่สามารถดึงดูดและเชื่อมโยงกับผู้ชมได้คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาโดดเด่น โดย 34% ของอินฟลูเอนเซอร์เชื่อว่า การเล่าเรื่อง คือส่วนสำคัญที่สุดของงานนี้ ในขณะที่อินฟลูเอนเซอร์ไทยเน้นเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น (User-Generated Content: UGC) เป็นอีกหนึ่งรูปแบบคอนเทนต์ที่สำคัญสำหรับการมีส่วนร่วมของผู้ชม
ความเป็นตัวของตัวเอง คือ แกนหลักที่สำคัญของอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่ง 58% ของอินฟลูเอนเซอร์ได้ให้ความสำคัญกับการรักษาสไตล์ส่วนตัว ในขณะที่ทำเนื้อหาตรงตามประเด็นสื่อสารหลักที่แบรนด์ต้องการนำเสนอ พวกเขาทุ่มเทเพื่อให้ทุกโพสต์ยังคงสอดคล้องกับตัวตนของพวกเขา
โดย 37% จะเลือกปฏิเสธข้อเสนอในการร่วมมือเมื่อพบว่าอุดมการณ์และค่านิยมไม่ตรงกัน และมีมากถึง 38% ที่พร้อมจะนำเสนอมุมมองใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของแบรนด์ ดังนั้นการเปิดใจและการสนทนาที่ดีสามารถช่วยให้แคมเปญแต่ละรายการได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ติดตามของอินฟลูเอนเซอร์ และรักษาความเป็นตัวของตัวเองไว้ได้
หากแบรนด์ต้องการผลงานที่ดีจากอินฟลูเอนเซอร์จึงต้องให้อิสรภาพทางความคิด หรือควรปล่อยให้พวกเขาได้ทำตามใจในการสร้างสรรค์ผลงาน เพราะการขาดอิสรภาพทางความคิดคือความท้าทายหลักที่ 29% ของอินฟลูเอนเซอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เผชิญ
โดยยังมีอินฟลูเอนเซอร์ สูงถึง 37% ในประเทศไทย ที่ขาดอิสรภาพในการแสดงออกทางความคิด เพราะไม่ใช่แค่สิทธิในการแสดงความคิดเห็นเพราะในมุมมองของแบรนด์มองว่านี่คือสิ่งที่ดีสำหรับธุรกิจ
นอกจากนี้ ในการร่วมงานกับแบรนด์ แม้ว่าการได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้นจะเป็นสิ่งที่อินฟลูเอนเซอร์ส่วนใหญ่ต้องการจากแบรนด์ก็ตาม แต่หลายคนยังให้ความสำคัญกับโอกาสในการร่วมงานระยะยาวกับแบรนด์เช่นกัน สิ่งนี้สะท้อนถึงความต้องการของอินฟลูเอนเซอร์ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับแบรนด์
ในขณะที่อินฟลูเอนเซอร์ในเวียดนาม (28%) และสิงคโปร์ (23%) มองว่า การได้รับเชิญไปงานและทริปของแบรนด์เป็นตัวกระตุ้นสำคัญในการร่วมงาน ทั้งนี้ การส่งเสริมความสัมพันธ์ระยะยาวกับอินฟลูเอนเซอร์สามารถช่วยเสริมสร้างความเป็นตัวของตัวเองและรักษาประเด็นสื่อสารหลักแบรนด์ให้สอดคล้องกันได้ในระยะยาว
Community กับแนวทางการขายของแบบ Affiliate
อินฟลูเอนเซอร์ กำลังพัฒนาคอมมูนิตี้ เพื่อถ่ายทอดความเป็นตัวของตัวเอง และโอกาสในการขายของออนไลน์บนโลกโซเชียล และ AI ในปี 2568 การสร้างคอมมูนิตี้ที่มีแรงบันดาลใจจะถูกจัดผ่านกิจกรรมที่จัดโดยตัวของอินฟลูเอนเซอร์เองถึง 28% และการร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์คนอื่นๆ จะมีถึง 23%
โดยการจัดงานแฟนมีตแบบนี้จะเป็นแนวทางสำหรับอินฟลูเอนเซอร์ในอนาคต รวมถึงการแสดงความเป็นตัวของตัวเอง (28%) การเพิ่มขึ้นของปัญญาประดิษฐ์ (36%) และการขายของออนไลน์ผ่านโลกโซเชียล (33%) จะเป็นที่จับตามองว่า สิ่งเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อการตลาดของอินฟลูเอนเซอร์อย่างไร ซึ่งแบรนด์ในวันนี้มีโอกาสที่จะเป็นผู้นำในการกำหนดทิศทางของแนวโน้มเหล่านี้ได้ในอนาคต
ทุกความร่วมมือระหว่างอินฟลูเอนเซอร์และแบรนด์เริ่มต้นด้วยการหาคู่ที่เหมาะสม การหาคู่ที่เหมาะสมระหว่างอินฟลูเอนเซอร์และแบรนด์คือขั้นตอนแรกในการสร้าความสัมพันธ์ที่เป็นธรรมชาติและเป็นประโยชน์ร่วมกัน
และเมื่อการแข่งขันเพิ่มขึ้น การเริ่มต้นแคมเปญการตลาดของอินฟลูเอนเซอร์ให้ถูกต้องจึงมีความสำคัญมากกว่าที่เคย เพื่อให้มั่นใจว่ามีการจับคู่ที่เหมาะสม
วีโร่ได้สร้าง TrueVibe ซึ่งเป็นโซลูชันที่ใช้ข้อมูลในการทำการตลาดกับอินฟลูเอนเซอร์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของ InFluent ซึ่งเป็นวิธีการและโซลูชันที่วีโร่สร้างขึ้นเอง โดย TrueVibe จะให้คะแนนอินฟลูเอนเซอร์ตามหกเกณฑ์ ได้แก่
- การเข้าถึง (Reach)
- ความสนใจ (Interests)
- การมีส่วนร่วม (Engagement)
- คุณภาพเนื้อหา (Content Quality)
- อำนาจ (Authority)
- ค่านิยม (Values)
คุณรฉัตร พวงเพ็ชร ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด ของวีโร่ กล่าวว่า ในประเทศไทย ผู้ใช้โซเชียลมีเดียมีการตอบสนองกับอินฟลูเอนเซอร์ที่พวกเขาชื่นชอบอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าตลาดอื่นๆ ซึ่งทำให้เกิดความนิยมของเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้นเป็นอย่างมาก
“สิ่งนี้ย้ำถึงคุณค่าของการสร้างเนื้อหาที่ร่วมมือกัน ซึ่งสร้างทั้งความรู้สึกเป็นส่วนตัวและการมีส่วนร่วมร่วมกัน ที่อินฟลูเอนเซอร์สามารถสร้างการสนทนาและเปลี่ยนแคมเปญให้กลายเป็นกิจกรรมที่ขับเคลื่อนโดยคอมมูนิตี้ได้อย่างแท้จริง”
เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ดิจิทัลที่รวดเร็ว แบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์จำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นและปรับตัวต่อแนวโน้มใหม่ๆ รวมถึงมีการอัปเดตแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง
สิ่งสำคัญคือต้องยึดมั่นในค่านิยมหลักของทั้งอินฟลูเอนเซอร์และแบรนด์เพื่อให้มั่นใจในความเป็นตัวของตัวเองและความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับผู้ชม สามารถอ่านการศึกษาฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์วีโร่