จากกรณีกระแสสังคมในเรื่องของสินค้าด้อยคุณภาพที่เกิดขึ้นในโลกโซเชียล จนทำให้เกิดคำถามที่มีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค หลายๆ แบรนด์ได้นำกลยุทธ์ Influencer Marketing มาใช้ เพื่อช่วยสร้าง Engagement ให้เกิดขึ้นกับผู้บริโภค โดยเหล่าผู้นำทางความคิด Key Opinion Leader (KOL) ที่ออกมาสื่อสารใเป็นตัวแทนของแบรนด์ เพื่อทำการตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในแพลตฟอร์มต่างๆ แต่จะเชื่อได้แค่ไหน หลังจากที่คนดังหลายคนออกมาปกป้องตัวเอง ด้วยคำว่า “โดนหลอก” เช่นกัน
แน่นอนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และกลายมาเป็นคำถามที่กลุ่มธุรกิจต้องหาคำตอบว่าสุดท้ายแล้วจะทำให้ Influencer หรือ KOL ยังคงน่าสนใจและได้รับความนิยมอีกหรือไม่ ความกังวลเหล่านี้กลายเป็นปัญหาให้นักการตลาดทำงานยากขึ้นไปอีก แม้แต่กลุ่มผู้บริโภคเองก็เริ่มที่จะเสื่อมความเชื่อถือกับการใช้วิธีการนี้
คุณสุทธิชัย รัตนวิไลวรรณ ผู้บริหาร Motive Influence ได้ให้ข้อมูลว่า การสร้างมาตรฐานที่ชัดเจนต่อผู้บริโภค นอกเหนือจากการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลสินค้าแล้ว การเริ่มให้ Influencer ที่บริษัทดูแลใส่คำว่า #Sponsored หรือ #Partnerwith… ลงไปในโพสต์ เพื่อบอกให้สังคม และผู้บริโภครับรู้เลยว่า เจ้าของโพสต์ ได้รับผลประโยชน์บางอย่างจากแบรนด์ เป็นการพยายามเปลี่ยนแปลง แก้ไขปัญหา และสร้างมาตรฐานให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งแบรนด์ต่าง ๆ ก็เริ่มเห็นความสำคัญด้วยเช่นกัน เรื่องนี้มองเป็น 3 มิติ คือ แบรนด์ ผู้บริโภคและ Influencer โดยที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ทั้งหมดจากการยืนหยัดในหลักการ สำหรับการสร้างมาตรฐานให้ดียิ่งขึ้นต่อไปในอุตสาหกรรมนี้
#Sponsored หรือ #Partnerwith… การทำแฮชแท็กแบบนี้ อิงมาจากประเทศที่มีมาตรฐานเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีมาตรฐานของ Federal Trade Commission (FTC) เพื่อใช้ในการคุ้มครองผู้บริโภค โดยทาง Motive Influencer ได้ยึดเอาหลักการของ FTC ไว้เป็นแบบอย่างในการสร้างสรรค์งานที่รับผิดชอบต่อสังคมและผู้บริโภค
บริษัทให้ความสำคัญกับ Natural Sharer ของกลุ่ม Micro Influencer เพราะคนกลุ่มนี้มีการแชร์ประสบการณ์ของตัวเองกับกลุ่มเพื่อนหรือ follower ของเขาตามธรรมชาติ จึงหลีกเลี่ยงการใช้ Money Talk การให้เกียรติคาแรคเตอร์ Micro Influencer เป็นหลัก โดยไม่ไปบังคับหรือทำให้เค้าเสียตัวตน จะช่วยให้เขาดูน่าเชื่อถือมากกว่า
กลุ่ม Influencer ก็จะมีอยู่ 2 กลุ่มคือ กลุ่ม Professional Influencer เป็นกลุ่มมืออาชีพ ที่หารายได้จากฐาน Follower จำนวนมากของตน และอีกกลุ่มคือ Micro Influencer หรือ Natural Sharer ที่ใช้โซเชียลมีเดียในการแบ่งปันประสบการณ์กับกลุ่มของตนตามธรรมชาติ เพื่อแชร์ประสบการณ์ใหม่ๆ ได้แบบไม่ต้องยึดติดคำว่าแบรนด์
ดังนั้น การสร้างมาตรฐานเดียวกันของกลุ่ม Influencer ให้ตระหนักถึงการซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภคถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะพวกเขาได้รับค่าจ้างจากการแนะนำสินค้า ในขณะที่ Micro Influencer เองก็ต้องไม่โดนเบียดความเป็นตัวตนเพราะกลุ่มนี้ถือว่าใกล้ชิดกับผู้บริโภคเข้าไปอีก ความซื่อสัตย์จึงเป็นสิ่งสำคัญ และอยากให้แบรนด์ชัดเจนกับผู้บริโภคมากกว่านี้รวมทั้งการตลาดผ่าน Influencer จะยังทำงานต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง