The Economic Times รายงานว่า InMobi สตาร์ทอัปโฆษณาบนโมบายล์ในบังกะลอร์ได้รับเงินลงทุน 150 ล้านบาทจาก SoftBank และรอการลงทุนเพิ่มเติมจากบริษัทอื่นๆ อีกกว่า 750 ล้านบาท
สตาร์ทอัปในบังกะลอร์กำลังเป็นที่สนใจของนักลงทุนรายใหม่ๆ และ InMobi ยังมีแผนว่าจะระดมเงินทุนจากบุคคลทั่วไปด้วย ในอีก 2 ปีข้างหน้า
SoftBank ระบุว่าหากมีนักลงทุนใหม่ๆ เข้ามาร่วม ก็จะยังคงสัดส่วนการลงทุนเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดถึงเงื่อนไขเฉพาะที่จะตามมาหากต้องเพิ่มจำนวนเงินลงทุน ซึ่งตัวแทนจาก InMobi เองก็บอกว่าเมื่อถึงวันนั้นก็คงต้องตัดสินใจกันอีกทีว่าจะรับเงินลงทุนจาก SoftBank หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ในอีกปีครึ่งหรือสองปีก็จะเริ่มระดมเงินทุนจากคนทั่วไป
ในขณะนี้ SoftBank มีสัดส่วนการลงทุนใน InMobi คิดเป็น 1 ใน 3 ถือว่าเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า 150 ล้านจาก SoftBank อาจไม่ใช่เงินจำนวนมาก แต่มันก็สำคัญ เพราะมันช่วยให้นักลงทุนรายอื่นๆ สนใจ InMobi ถ้านักลงทุนรายใหญ่ๆ อย่าง SoftBank ไม่รู้สึกตื่นเต้นกับอนาคตของธุรกิจ มันคือการส่งสัญญาณเดียวกันนี้ไปยังนักลงทุนรายอื่นๆ ดังนั้น มันจึงดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
InMobi คาดว่าจะทำกำไรได้ตามที่คาดเอาไว้ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม หลังจากเพิ่งเซ็นสัญญากับลุกค้า 5 ราย ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งจะทำรายได้มากกว่าหนึ่งพันล้านบาทต่อปี
พอร์ทการลงทุนของ SoftBank ในอินเดียไม่ได้มีแค่ InMobi เท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็ได้เข้าไปลงทุนใน Snapdeal เป็นจำนวนนับหมื่นล้านบาท และ Ola Cabs บริการเรียกแท็กซี่ เป็นเงินกว่า 6 พันล้านบาท
ในปี 2008 และ 2011 InMobi เคยได้รับเงินจากนักลงทุนรายอื่นๆ เป็นจำนวนประมาณ 450 ล้านบาท ก่อนที่ SoftBank จะเข้ามามีบทบาทในปี 2011 ด้วยเงินลงทุน 6 พันล้านบาท
InMobi ก่อตั้งมาแล้ว 7 ปี เริ่มจากการเป็น Mobile-search engine ที่มีชื่อว่า mKhoj ในขณะนี้มีอยู่บนดีไวซ์ทั่วโลกประมาณ 872 ล้านชิ้น
ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา InMobi สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ด้วยแพลทฟอร์มการโฆษณาต่างๆ เช่น แบนเนอร์ วิดีโอ และอื่นๆ ล่าสุด ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็ได้เปิดตัวโปรดักต์ใหม่ๆ จำนวนมากเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มที่เป็นนักพัฒนาและนักโฆษณา
ผลประกอบการของ InMobi จากธุรกิจโฆษณาจะทำกำไรได้ราวๆ 15-20% จากการวิเคราะห์ของ International Market Analysis Research and Consulting Group
นักวิเคราะห์ออกมาระบุว่า InMobi ขึ้นสู่จุดสูงสุดมาระยะหนึ่งแล้ว ถ้าอยากจะรักษาระดับนี้เอาไว้ ก็ต้องทำอะไรๆ ให้มากขึ้นและต้องมีความหลากหลายมากขึ้น
ผลกำไรในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาสูงเป็น 9 เท่า และทางบริษัทก็พยายามที่จะลดต้นทุนด้วยการนำเอาระบบอัติโนมัติมาใช้ในหลายๆ จุด โดยในเดือนธันวาคมนี้ มีเป้าหมายว่าต้องทำรายได้วันละ 60 ล้านบาท จากเดิมที่ทำได้ 45 ล้านเหรียญ