Jane Manchun Wong สาววัย 24 ปีผู้นิยมทำ Reverse Engineering เพื่อดูฟีเจอร์ใหม่บนแอป Social Media ล่าสุดเธอพบว่า Instagram กำลังทดลองซ่อนจำนวน ไลก์ (like) ที่แสดงในแต่ละภาพออก
โดยเธอบันทึกภาพหน้าจอที่พบมาลงด้วยกัน 3 หน้าจอ ได้แก่ หน้าจอแสดงโพสต์รูปภาพที่ไม่แสดงยอดไลก์ให้คนอื่นเห็น, หน้าจอแสดงยอดไลก์-ผู้กดไลก์ที่เราเห็นได้คนเดียว และข้อความแสดงรายละเอียดของการซ่อนยอดไลก์จาก Instagram
Instagram is testing hiding like count from audiences,
as stated in the app: "We want your followers to focus on what you share, not how many likes your posts get" pic.twitter.com/MN7woHowVN
— Jane Manchun Wong (@wongmjane) April 18, 2019
หน้าจอแรก เป็นหน้าจอแสดงโพสต์รูปภาพที่จะไม่มีการแสดงยอดไลก์ให้คนอื่นเห็น โดยจะโชว์รูปคนกดไลก์เพียงสามคน และโชว์ชื่อเพื่อนที่มากดไลก์เพียงหนึ่งคนเท่านั้น
หน้าจอถัดมา เป็นหน้าจอแสดงยอดไลก์และผู้กดไลก์ ซึ่งเรา(ผู้โพสต์รูปภาพ)สามารถเห็นได้คนเดียว
และหน้าจอสุดท้ายจะข้อความแสดงรายละเอียดของการซ่อนยอดไลก์ระบุว่า “พวกเราต้องการให้ผู้ติดตามของคุณสนใจในสิ่งที่คุณแชร์ เราไม่ต้องการให้สนใจจำนวนไลก์ที่โพสต์ของคุณได้มา ระหว่างการทดสอบนี้ มีแค่คนที่แชร์โพสต์นี้ไปเท่านั้น(หมายถึงตัวเราเอง)ที่จะเห็นยอดไลก์ของโพสต์นี้”
ทำไมจึงต้องลดความสำคัญของยอดไลก์?
จริงๆ แล้ว การซ่อนยอดไลก์ของรูปภาพไม่ได้เป็นแผนหลักของ Instagram ในเวลานี้ เป็นเพียงการทดลองเท่านั้น แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจจะสะท้อนให้เห็นว่านักสร้างเนื้อหาและนักการตลาดต้องผลิตคอนเทนต์ที่ดึงดูดทั้งคนดูและอัลกอริทึมเพื่อให้แสดงขึ้นมาบนหน้าฟีด
หรือเป็นไปได้ว่า Instagram ก็พยายามลดความสำคัญของตัวยอดไลก์ลดไป เพื่อไม่ให้คนคิดว่าไลก์มีผลต่อการนำโพสต์ขึ้นมาบนฟีด ซึ่งต้องยอมรับว่า Co-Founder ของ Instagram อย่าง Kevin Systrom เคยให้สัมภาษณ์กับ TechCrunch เมื่อปี 2559 ว่าการปล่อยฟีเจอร์ Stories ออกมา ก็เพื่อลดความสนใจต่อยอดไลก์ให้น้อยลงไป
ต้องยอมรับว่าในยุค Social Media ร้อนแรง ยอดไลก์ของรูปภาพส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเองของใครหลายๆ คน บางสังคมมองว่ายอดไลก์เป็นสิ่งที่บ่งบอกสถานะในสังคมอีกด้วย ซึ่งมันทำให้ดูเป็นการแข่งขันและเครียดเกินไป ดังนั้นการเปิดฟีเจอร์นี้อาจจะทำให้ Instagram ย้อนกลับไปสู่จุดประสงค์หลักของมัน นั่นคือการแบ่งปันงานศิลปะ มากกว่าจะเป็นการประชันความนิยมกัน
ที่มา : TechCrunch