“เคยมีคนบอกนะว่า อยากเป็นแอร์สายการบินไหน ให้ไปดูพรีเซนเตอร์ของสายการบินนั้น เพราะจะเป็นอิมเมจที่สายการบินนั้นต้องการ”
ก่อนหน้านี้ ทีมงาน thumbsup ได้พูดคุยกับเพจ “แอร์อินดี้” ซึ่งฮิตมากสำหรับสาวๆ ที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับแอร์โฮสเตส และนี่คือเรื่องราวแซ่บๆ ของวงการแอร์โฮสเตสที่มีความสนุกมากกว่าดราม่าแบบในละคร
จริงหรือไม่ที่แอร์โฮสเตส ต้องมาพร้อมกับความสวย
ไลลา : เรื่องของการคัดเลือกในรอบแรก จะเป็นแบบ Pre Screen คือดูเรื่องของการศึกษา อายุและสุขภาพ ส่วนมากคนที่ตกรอบ จะเป็นเรื่องของน้ำหนักเกินมากกว่า สิ่งที่เค้า require ค่า BMI คือส่วนสูง -110 จะได้เป็นนำ้หนักที่แม็กซ์สุด ส่วนเราก็โดนสั่งให้ลดน้ำหนักและจี้ตามบอดี้เรา บางคนก็ไม่รู้ว่าเรื่องบุคคลิกภาพภายนอกพวกนี้ก็สำคัญนะ เช่น สีสูท สีเล็บ ทรงผมที่เรา Groom ออกมา อย่างตัวเราเอง ในวันนั้นใส่สูทสีเขียว คนอื่นสีดำ กรมท่า ก็ดูแปลกและมีสีสันกว่า คนที่เห็นส่วนมากก็ชมว่าสวยดีนะ
บางคนจะไม่รู้ตัวเองว่าเรื่องของ Personality นั้น เป็นเรื่องที่สำคัญมากนะคะ บางคนต้องมีคนแนะนำ แม้จะเป็นแง่มุมเล็กๆ ก็สำคัญมาก แต่ถ้าไม่มีคนคอยแนะนำให้ปรับตรงจุดก็ยาก เราอยากให้คนใกล้ชิดหรือเพื่อนสนิทมาช่วยวิเคราะห์และแนะนำอย่างตรงไปตรงมา เช่น เดินตัวเอียง ไหล่ตก หรือเสื้อผ้าไม่เข้ากับบุคลิกภาพ คือพูดตรงๆ จะได้แก้ตรงจุด
อย่างเช่น เรื่องขาโก่งเนี่ยสำคัญมากนะ เพราะการเดินเสิร์ฟบนเครื่อง เราต้องเดินจากต้นเครื่องไปท้ายเครื่องและเป็นทางเดินที่ยาวมาก ตลอดทางที่ต้องเดิน ผู้โดยสารบางคนจะเรียกให้ช่วยเหลือหลายอย่างตลอดทางเดิน เช่น ผ้าห่ม หมอน น้ำ กาแฟ เราก็ต้องเดินให้ดี ฝ่ายคัดเลือกเขาจะดูที่ความโก่งของขา ดูขนที่แขน เพราะมันเป็นเรื่องของความสะอาด ตอนแรกก็งงว่าต้องดูเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ ตอนหลังก็เข้าใจ ถ้าคุณเป็นคนขนเยอะ ผู้โดยสารก็จับผิดว่ามีผมหรือขนหล่นลงไปไหม ดูจุกจิกนะแต่มันมี
หรือบางคนเจอให้แลบลิ้นก็จะอึ้งไปนิด เพราะไม่เคยแลบลิ้นให้ใคร เค้าก็จะดูว่าเราเจาะลิ้นหรือเปล่า เพราะถ้าคุยกับผู้โดยสารในระยะที่ใกล้มากๆ จะดูไม่ดี หรือถ้าเดินมาจากระยะไกลแล้ว ผู้โดยสารทั้งลำมองมาเห็นว่าเราขาโก่งชัดเจนเลยก็จะไม่ค่อยงามอะค่ะ
บุคลิกภาพอย่างไรที่สายการบินต้องการ
ไลลา : เคยมีคนบอกนะว่า อยากเป็นแอร์สายการบินไหน ให้ไปดูพรีเซนเตอร์ของสายการบินนั้น เพราะจะเป็นอิมเมจที่สายการบินนั้นต้องการ เช่น สายการบินสีแดง (Air Asia) เค้าต้องการคนที่บุคลิกสนุกสนาน สดใส ขายเก่ง พูดเร็ว ถ้าเป็นสีม่วง (การบินไทย) จะเรียบร้อย ไม่เปรี้ยว อยู่ในโอวาท ทำงานเร็ว หรือถ้าเป็นทางตะวันออกกลาง (Emirate) ก็ต้องมั่นใจ กระฉับกระเฉง ซึ่งจะเห็นชัดเจนว่าแต่ละสายการบินจะมีความต้องการที่ต่างกัน
อย่างตัวเราเอง ก็คิดว่าถ้าเราไปสายการบินตะวันออกกลางเราอาจจะไม่ได้ก็ได้ เพราะไม่ได้เป็นคนที่สดใสร่าเริงขนาดนั้น แต่เราอาจจะเหมาะกับการบินไทยมากกว่า เพราะใจเย็น โดยเราเป็นคนที่มีสองบุคลิกนะ แม้เราจะดูเงียบๆ แต่เราก็มีมุมที่สุดเหวี่ยงเหมือนกัน ส่วนตัวคิดว่าเพราะเรามี Personality ที่เหมาะกับที่นี่ค่ะ
ดังนั้น ใครที่อยากสมัครงานกับสายการบินไหนต้องตีความเรื่องบุคลิกภาพแบบนี้ให้ออก เพราะเรื่องแบบนี้เหมือนโจทย์การบ้านที่ต้องตีให้แตก ไม่เฉพาะการสมัครงานในวงการสายการบินเท่านั้น แต่หมายถึงการสมัครงานกับทุกที่เลย คือทำความรู้จักกับบริษัทที่เราจะเข้าไปทำให้ดีก่อนว่ารูปแบบธุรกิจเขาคืออะไร เราจะสมัครตำแหน่งไหนและจะเข้าไปช่วยองค์กรเค้าอย่างไร
แอร์โฮสเตส ชีวิตแซ่บแบบในละครจริงไหม
ไลลา : ถ้าเป็นเรื่องความรักหรือการแก่งแย่ง เชื่อว่ามันต้องมีทุกองค์กรอยู่แล้ว เพราะทุกๆ สายการบินเป็นองค์กรใหญ่ ส่วนมากไฟลต์หนึ่งจะมีสิบคนและจะหมุนวนกันไปงานมันจะฉาบฉวยมาก
ถ้าจะรู้สึกรักใครสักคน มันต้องเกิดขึ้นเร็วมาก แต่ที่เคยรู้มาก็มีคนที่เกิดความรักระหว่างการทำงานแบบนี้มาแล้ว ส่วนตัวเชื่อว่าไม่ใช่แค่วงการสายการบินหรอกมีได้ทุกที่ แต่ที่คนข้างนอกสนใจเรื่องความรักของวงการนี้เยอะ อาจเป็นเพราะคนมันเยอะ ยิ่งหน้าที่ของเราคัดจากหน้าตา คัดจาก Personality ทำให้เป็นที่จับตามองเยอะ
ในตารางบินแต่ละครั้ง เวลาจะบินก็จะต้องเข้ามาที่บริษัทซึ่งเราจะเรียกขำๆว่า ยานแม่ ซึ่งตอนเข้ามาประชุมงานแต่ละครั้ง ก็จะเห็นทุกคนเหมือนหลุดมาจากรันเวย์ คือผู้ชายก็สูงขาว หน้าตาดี มีกล้าม อาจจะไม่ได้หล่อเลิศแต่ก็จะมี Appealในแบบหนึ่ง
ส่วนผู้หญิงแม้ว่าหน้าตาจะไม่ได้เป๊ะแบบนางเอกละคร แต่เดินแล้วสวย ยิ้มแล้วสวย มันก็จะเต็มไปด้วยคนสวยหล่อ ก็เป็นจุดหนึ่งแบบในละครที่เป็นการหยิบยกขึ้นมา แล้วคนจะให้ความสนใจว่าวงการนี้จะมีเรื่องชิงดีชิงเด่นจริงหรือเปล่า
เพราะเราทำงานในที่สว่าง แอร์โฮสเตสเป็นงาน Frontline worker คือเราทำงานกับคนที่จ่ายเงินเราโดยตรงซึ่งก็คือผู้โดยสาร ก็มีคนอยากรู้ว่าชีวิตเราเป็นยังไงเยอะ แต่จริงๆ มันมีทุกองค์กรอยู่แล้ว
ดูแลสุขภาพอย่างไร
ไลลา : ส่วนตัวร่างกายก็พังประมาณหนึ่งแล้วนะคะเจ็บหลัง ปวดเท้า ก็รักษากันตามอาการ แต่ส่วนตัวเราจะชอบไฟลท์ที่บินไปยุโรป ที่ต้องบินอ้อมทำให้จากเวลาการบิน 10 ชั่วโมงเพิ่มเป็น 13 ชั่วโมง ซึ่งระยะเวลานานแบบนี้ พนักงานออฟฟิศเค้าไปทำงานกลับบ้านกันหมดแล้ว แต่เรายังไม่ถึงบ้านเลย เราเสิร์ฟ 2 ชม.ได้พัก 8 ชม. ก็แบ่งกันกับเพื่อนร่วมทาง ซึ่งทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เรามีเวลากับตัวเองมากขึ้น และได้คุยกับผู้โดยสาร บางคนได้เป็นแฟนก็มีบ้าง
ส่วนตัวคิดว่าถ้าเหนื่อยหรือร่างพังง่ายๆ คือการอดนอนในไฟล์ทที่ต้องเดินทางแบบข้ามคืน เช่นบินไปนิวเดลี และบินกลับไทยเลย ก็ได้พักบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่เหมือนนอนบนเตียงที่บ้าน ทุกอย่าง Interrupt เราหมดเลย ทำให้ร่างพังหรือไฟลท์สั้นๆ ที่เต็มไปด้วยคุณภาพ อย่างเช่น สิงคโปร์ เวลาในการบินคือ 2 ชม. แต่เสิร์ฟไม่จบสักที และทุกอย่างต้องทำให้ดีในเวลาที่สั้นมาก กว่าจะเสร็จการเสิร์ฟสุดท้ายก็ตอนเก็บถาด decending ที่ชางกีแล้ว ด้วยความที่ขยับร่างกายมากและรวดเร็ว ก็จะปวดตัวได้ง่าย ใครที่จะบินไฟลท์แบบนี้ต้องเตรียมร่างกายให้ดีเลยก่อนบินค่ะ
ถ้าทำได้มากสุดคือ เราว่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอหรือว่านอนเยอะๆ เท่าที่จะมากได้ เพื่อให้ร่างกายได้วอร์มและฟื้นฟูสภาพก่อน เรื่องสุขภาพสำคัญมากและควรดูแลให้ดีด้วย
อยากทำอาชีพแอร์โฮสเตสถึงเมื่อไหร่
ไลลา : ด้วยลักษณะของงานนะคะ ระดับอายุสำหรับคนที่ควรทำงานบนเครื่องบิน ตามความคิดเราคือไม่เกิน 45 ปี เพราะอากาศบนเครื่องน้อยเป็นลมง่าย รวมทั้งเรื่องของอายุที่ห่างกันก็เป็น Gap เหมือนกัน อย่างรุ่นพี่ที่โตกว่าเราบางคนก็งงบ้างเวลาพูดภาษาต่างดาวใส่ หรือการลุกยืนเก็บของ เข็นรถอาหาร รถน้ำแบบไม่ทรมานร่างกาย อายุประมาณนี้ก็พอดี การทำโปรเจคอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น เขียนหนังสือ แต่งหน้า ก็น่าจะทำต่อเนื่องควบคู่กันไปด้วยก็คงยังไม่ไปไหนค่ะ
การบริหารความสัมพันธ์กับครอบครัวอย่างไร
ไลลา : ก่อนจะมาทำอาชีพนี้ เป็นคนอยู่กับครอบครัวตลอด พอมาทำงานแล้วก็แยกออกมาอยู่คอนโด เวลากลับบ้านก็รู้สึกแม่แก่ไปเยอะมาก หลังเราออกมาอยู่ข้างนอกเพียงแค่ 8 เดือน ซึ่งที่บ้านก็ชอบให้เรารักษาความสัมพันธ์เรื่อยๆ โชคดีที่พ่อแม่รับความสัมพันธ์และเข้าใจเรื่องงานของเรา
แต่จะกังวลเรื่องสุขภาพ เห็นเราสุขภาพพัง อย่างเจ็บหลังหรืออาเจียนบนเครื่องบินก็มี และเป็นห่วงเรื่องงานที่ workload เรื่องความสัมพันธ์กับคนรัก เราโชคดีที่คนรอบข้างเข้าใจ และพอใจกับการที่เรารักษาความสัมพันธ์ผ่านการสื่อสารกัน ในเมื่อพวกเขายังพอใจกับสิ่งเหล่านี้และทำงานเหมือนกับเรามีเวลาไม่เหมือนชาวบ้าน ถ้าคนรอบข้างยังยอมรับ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีและทำให้ความสัมพันธ์ยืดยาวได้ค่ะ
สิ่งที่ควรรู้ก่อนสมัครแอร์
ไลลา : สิ่งที่ควรรู้ก่อนยื่นใบสมัครแอร์นะคะ อันดับแรกเลยคือ
- Grooming ค่ะ ภาพรวมของคุณต้องดีตั้งแต่หัวจรดเท้า บางคนแต่งหน้าดี แต่งตัวดี แต่เกล้าผมเป็นก้อนมาเลย ซาลอนบางที่อาจจะเซ็ทผมเก่ง ที่เคยเห็นคือเป็นรังนกเลย อาจต้องให้คนประเมินก่อน ครูต่างๆ ที่เปิดสอนหรือเพจเราก็ได้
- ความมั่นใจ เราไม่สวย ผิวดำแดดเป็นนักกีฬา ไม่ต้องคิดมาก ถ้าเรามั่นใจ เดินสวย แม้ว่าเราจะไม่ขาว ไม่บลิ้ง สีผิวไม่ใช่สิ่งสำคัญ เราเคยคลอรีนกัดตัวมาก่อน ก็บำรุงถ้าข้างในโอเคข้างนอกก็ออกมาเอง
- ความอดทนในการแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าแพ้ครั้งแรกแล้ว ควรปรับปรุงตัวเอง ถ้าไม่มีโค้ชที่เราเสียเงินเรียน ลองคุยกับตัวเอง พ่อแม่และเพื่อนว่าชั้นเป็นยังไงแก พูดสบตาไหม การสบตาสำคัญมากกับการสมัครงานในอาชีพที่ต้อง Reach คน อดทนและพิจารณาตัวเองว่าทำไมชั้นตกรอบ ถ้ามากถึง 4-5 ครั้ง ลองคิดใหม่ทำใหม่ว่าอาจไม่ใช่อาชีพของเราก็ได้ เพราะไม่ใช่ทุกคนจะเป็นได้ อย่างตัวเองเคยเป็น
- ภาษาค่ะ โดยเฉพาะน้องๆ ที่กำลังศึกษาอยู่ ไม่ว่าจะมัธยมปลายหรือปริญญาตรีก็ตาม ส่วนตัวคิดว่าควรใช้เวลา 4 ปีในมหาลัยหรือมัธยมก็ตาม ฝึกภาษาตนเองและพร้อมสอบโทอิคได้เลย เพราะอายุ 22 เป็นจังหวะที่ดีมากเวรี่เฟรช สดใหม่มากๆ ทุกคนอยากได้มากๆ อย่างตอนนี้เรา 25 แล้วก็รู้สึกแก่แล้ว เราเจอหลายคนพร้อมมาก Personality ดีมาก แต่ภาษาไม่ได้เลย แต่ละเดือนผ่านไปเร็วมาก ถ้าเรียนจบมาแล้วไม่ได้ภาษาคือเสียเวลามาก อยากให้พร้อมเลยจบมาพร้อมสอบโทอิคให้ได้คะแนน 650 ขึ้นไปก็พร้อมให้มันได้ไปเลย บางคนต้องเสียเวลาเรียนภาษาอีก 2 ปี ซึ่งน่าเสียดายมากๆ
ยังมีเรื่องราวอีกมากสำหรับชีวิตแอร์โฮสเตสสาวคนนี้ ใครที่สนใจอยากประกอบอาชีพนี้ ลองอ่านเรื่องราวความสนุกผ่านเพจแอร์อินดี้ หรือจะติดตามผ่านหนังสือ Life in flight mode ไฟลต์(ไม่)บังคับ ตามร้านหนังสือทั่วไปได้เลยค่ะ