ท่านผู้อ่านเคยสงสัยไหมคะ ว่าระดับห่างของคนเราที่เป็นระยะเหมาะสมควรเป็นอย่างไรในช่วงวิกฤตโควิด-19 แบบนี้ ทีมงาน thumbsup จึงได้สัมภาษณ์ คุณจอร์จ ฮาร์เทล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท สุภารา จำกัด และ แบรนด์จีคิว แอพพาเรล และคุณปภพ เชาวนปรีชา Deputy Executive Creative Director บริษัท แรบบิท ดิจิทัล กรุ๊ป
สองผู้บริหารที่ผุดไอเดียทำเสื้อยืดและหน้ากาก GQ Limited Distance Edition ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นแคมเปญที่เกิดขึ้นในระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์ก็พร้อมวางขายในสัปดาห์นี้แล้ว
จุดเริ่มต้นแคมเปญ
คุณปภพ : ต้องเล่าย้อนก่อนว่า แคมเปญนี้เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทเริ่มมีการปล่อยให้พนักงาน Work From Home แล้วครับ โดยทุกคนก็ติดตามข่าวสารจากทางรัฐบาลทุกวัน เพื่ออัพเดตสถานการณ์ และมีประกาศครั้งหนึ่งที่บอกให้ประชาชนมี Social Distancing หรือที่ตอนนี้ปรับมาเป็น Physical Distancing แล้ว ผมและทีมก็คิดกันว่า “ต้องห่างแค่ไหนถึงเรียกว่ากำลังเหมาะสมนะ”
ก็เลยมีการโยนไอเดียกันและแชร์ข้อมูลด้านต่างๆ เพราะว่าระยะห่างที่ผู้คนควรจะห่างกันนั้น ต้องอยู่ที่ระดับ 2 เมตร แต่เวลาเราออกไปข้างนอก เช่น ไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือเดินสวนกันขณะเดินทางนั้น 2 เมตรควรจะอยู่ห่างกันแค่ไหน เราจึงนึกถึงการวัดสายตาเพื่อประกอบแว่น จะมีระยะห่างของชาร์จให้เรามองว่า สายตาของเราสั้นแค่ไหนกันนะ ถึงจะตัดแว่นให้มองเห็นอย่างได้มาตรฐาน และเราก็ได้เข้าไปปรึกษากับทางนักทัศนมาตร เพราะต้องการรู้ให้ชัดเจนว่าระยะห่างแบบใดที่เหมาะสมและได้มาตรฐานครับ
จากนั้น ก็มองหาแบรนด์ที่สามารถ Transform ผลงานชิ้นนี้ร่วมกันได้รวดเร็ว ซึ่ง GQ เป็นธุรกิจเสื้อที่มีการทรานฟอร์มและแนวคิดในการทำธุรกิจที่ยอดเยี่ยม และรูปแบบการทำงานก็มีการปรับตัวได้ทันต่อกระแสสถานการณ์ช่วงนี้ได้ไวมาก หากเห็นจากการ breakthrough เรื่องเสื้อเชิ้ตขาว อย่าง GQ White และ GQ Colors จนเป็นที่ยอมรับของลูกค้าทีมแรบบิท ดิจิทัล กรุ๊ป ก็เลยชักชวนกันมา และเกิดแคมเปญนี้ขึ้นครับ
คุณจอร์จ : อย่างที่รู้กันว่าตั้งแต่เกิดสถานการณ์วิกฤต COVID-19 ทุกธุรกิจต่างก็เจอปัญหาทั้งสิ้น ทาง GQ เองก็เช่นกัน เราเจอปัญหาร่วมกับทางธุรกิจค้าปลีก คือไม่สามารถจำหน่ายสินค้าที่หน้าร้านได้ การทำแคมเปญใดๆ ก็ต้องใช้ช่องทางออนไลน์ทั้งสิ้น
พอทางแรบบิทส่งแคมเปญนี้มา ผมก็คิดว่ามันเจ๋งมากและเราจะรอช้าไม่ได้แล้ว ในเมื่อเรามีนวัตกรรมในมือ มีความพร้อมในกำลังการผลิต ประกอบกับทางแรบบิท ดิจิทัล กรุ๊ป ก็มีทีม Production in-house ที่พร้อมให้บริการแล้วทำไมต้องรอ พวกเราทั้งสองทีมจึงเดินหน้าแคมเปญนี้กันทันที หากนับเวลาการคิดแคมเปญและดำเนินการต่างๆ ใช้เพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น
เพราะเรื่องของระยะห่างทางสังคมนั้น หลายคนยังไม่เข้าใจกันว่าทำไมต้องห่าง ซึ่งการป่าวประกาศหรือบอกต่อหน้าก็คงเป็นเรื่องที่จะดูยากไปสำหรับการใช้ชีวิตของคน ดังนั้น การสกรีนในเสื้อเนี่ยแหละ เป็นแนวคิดง่ายๆ แต่ช่วยแก้ปัญหาทางสังคมได้มากทีเดียวครับ ซึ่งเราจะเร่งเปิดตัวแคมเปญนี้ทุกช่องทางเพื่อให้คนที่สนใจสั่งซื้อและจัดส่งได้อย่างรวดเร็วเลยครับ
จุดเด่นของเสื้อและหน้ากาก
กระแสหน้ากากและเจลแอลกอฮอล์ล้างมือยังไม่จางหาย เพราะคนยังต้องการสินค้ากลุ่มนี้มากที่สุด เราจึงไม่แปลกใจที่ GQ จะเลือกผลิตหน้ากากออกมาวางขายด้วยการชูจุดเด่นด้านนวัตกรรมที่มีอยู่ในมือ แต่เรากลับไม่ค่อยเห็น GQ ทำเสื้อยืด ซึ่งมันง่ายต่อการลอกเลียนแบบแน่นอน
คุณจอร์จ : ในความคิดของผมนะครับ เลือกการลอกเลียนแบบ (COPY) นั้น ไม่ว่าแบรนด์ไหนก็ต้องเจอครับ เพราะมันเป็นปัญหาที่เลี่ยงได้ยากแต่ด้วยนวัตกรรมนวัตกรรมเส้นใย
โดยนาโนซิงค์ออกไซด์
นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีที่เสริมประสิทธิ
สำหรับเสื้อยืด GQ รุ่นพิเศษ พร้อมคําเตือนบนเสื้อและหน้ากากที่จะสามารถมองเห็นได้เมื่อเข้าใกล้เกินระยะ 2 เมตร โดยได้รับการตรวจสอบตามมาตรฐาน Visual Acuity 20/30 และผ่านการรับรองโดยสมาคมนักทัศนมาตรแห่งประเทศไทยว่าสามารถมองเห็นชัดในระยะ 2 เมตรหรือใกล้กว่าสำหรับสายตาคนทั่วไป (ภาวะสายตา ความสว่าง และลักษณะของพื้นผิว อาจส่งผลต่อระยะและประสิทธิภาพในการมองเห็นที่แตกต่างกัน)
คุณปภพ : สำหรับผมคิดว่าจุดเด่นของเสื้อและหน้ากากในแคมเปญนี้คือ หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วจะมีการนำเงินที่ได้ไปบริจาคให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ถึงแม้ว่าจะมีหลายธุรกิจให้ความช่วยเหลือโรงพยาบาลกันแล้ว แต่เรื่องเงินทุนในการทำงานด้านต่างๆ ภายในโรงพยาบาลก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันครับ
แนวทางการตลาด
ทางด้านของกลุ่มเป้าหมายที่ GQ วางแผนจะทำการตลาดนั้น แน่นอนว่าเป็นวัยทำงานที่ต้องออกไปนอกบ้านบ้างเป็นครั้งคราว หรือออกไปพบปะกับคนในสังคม ซึ่งจำเป็นต้องใส่หน้ากากเป็นประจำ ไปจนถึงกลุ่มคนที่ยังทำงานตามปกติมีความเสี่ยงแต่ไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือกลุ่มคนที่มีความเสี่ยง จึงเลือกใช้หน้ากากผ้าแทนหน้ากากอนามัยได้
คุณจอร์จ : จากข้อมูลผู้บริโภคที่ GQ ศึกษามานั้น พบว่า การใส่หน้ากากอนามัยที่ดีควรเปลี่ยนทุกวัน แต่การที่จะใช้แล้วทิ้งด้วยเหตุผลเรื่องสุขอนามัยนั้นส่งผลต่อเรื่องของค่าใช้จ่าย และความลำบากในการหาซื้อให้เพียงพอต่อการใช้งานเป็นประจำ รองลงมาคือวัสดุที่ทำหน้ากากไม่
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เรานำนวัตกรรมผ้า GQWhi
ซึ่งในช่วงแรกของแคมเปญนี้ ยังมุ่งที่จะทำตลาดในไทยก่อน และทำกลยุทธ์ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งผ่าน KOL ที่มีความน่าเชื่อถือ และขายสินค้านี้บนช่องทางอีคอมเมิร์ซเพื่อให้ผู้ใช้งานชาวไทยได้รับสินค้าไปใช้งานกันอย่างทั่วถึงก่อน
นอกจากนี้ก็มีการพูดคุยกับทางพาร์ทเนอร์ในต่างประเทศเช่นกัน เพราะจากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในหลายประเทศ พวกเขาต่างก็ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพในการป้องกันเชื้อโรคเช่นกัน ซึ่งเราก็คาดหวังทั้งสองตลาดนะครับ แต่เราอยากให้ประชาชนชาวไทยได้ใช้สินค้านี้กันก่อน
โดยสินค้าล็อตแรกที่เราจะวางจำหน่ายนั้น แบ่งเป็นเสื้อยืดทั้งสีขาวและสีดำ จำนวน 2,000 ตัว และหน้ากากจำนวน 50,000 ชิ้น ซึ่งหน้ากากยังมีแต่สีขาวนะครับ (หัวเราะ) เพราะมีลูกค้าบางคนอยากได้สีดำเพื่อปรับใช้กับชีวิตประจำวันให้ดูเท่ๆ เหมือนกัน แต่ล็อตแรกยังมีแต่สีขาวครับ และหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วจะนำยอดเงินที่ได้ไปบริจาคครับ
คุณจอร์จ กล่าวเสริมว่า สินค้าของจีคิวที่วางขายเกี่ยวกับโควิด-19 นั้น ยังคงมีแค่เสื้อยืดกับหน้ากากก่อน ส่วนการสกรีนในเสื้อเชิ้ตนั้น คิดว่าคงยังไม่มี เพราะสถานการณ์ไม่น่าจะลากยาวขนาดนั้น เพราะมาตราการของรัฐ การควบคุมโรคและแก้ไขปัญหาทำได้ดี คาดว่าวัยทำงานยังไม่ต้องการเสื้อที่สกรีนลายแบบเดียวกันนี้ แต่อนาคตก็เป็นเรื่องไม่แน่นอน เราคงติดตามสถานการณ์ต่อเนื่องและปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมถึงแนวทางในอนาคตครับ
เชิญชวนคนมาซื้อกันหน่อย
ด้วยพฤติกรรมของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อะไรคือจุดเด่นของ GQ ที่อยากจะมาซื้อสินค้ารุ่นนี้
คุณจอร์จ : เราค่อนข้างมั่นใจในกลยุทธ์และนวัตกรรมของเราครับ จากการวิเคราะห์ดาต้าการเสพคอนเทนต์
เรามองว่าคนไทยมักจะถู
นอกจากนี้ การปล่อยแคมเปญและสินค้า “GQ Limited Distance Edition” ออกมาในช่วงนี้นั้น ไม่ได้หมายความว่าเราคาดหวังรายได้จากช่องทางนี้เป็นหลัก แต่เราคาดหวังให้คนมาซื้อเยอะๆ เพื่อนำเงินรายได้หลักหักค่าใช้จ่ายไปช่วยทางมูลนิธิโรงพยาบาลรามาธิบดีกันมากๆ เพราะเป็นหน่วยงานสำคัญในการดูแลรักษาพวกเราให้พ้นจากวิกฤตโควิด-19 ได้โดยไวครับ
คุณปภพ : อย่างที่คุณจอร์จบอกนะครับ ที่เราอยากให้แคมเปญนี้ mass ไม่ใช่เพราะเราอยากได้กำไร แต่เราอยากช่วยคนให้ได้เยอะขึ้น ยิ่งผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าไปสามารถใช้งานเสื้อและหน้ากากได้อย่างคุ้มค่าแน่นอน เพราะเราเชื่อว่าคุณภาพของหน้ากากที่ GQ ผลิตออกมานั้นมีทั้งเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ดี คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป ด้วยราคาเสื้อยืด 490 บาทและหน้ากากผ้าชิ้นละ 190 บาทเป็นราคาที่จับต้องได้ ไม่แพงและมีคุณภาพแบบนี้ รวมทั้งรายได้ก็ส่งมอบให้แก่มูลนิธิฯ เพื่อช่วยเหลือคนจำนวนมากด้วย ถือว่าเป็นเรื่องดีๆ ที่ควรทำร่วมกันเลยครับ
พูดถึงกันและกัน
คุณจอร์จ : ผมคิดว่าการร่วมมือกันในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ดี และมีความสุขที่ได้ทำงานร่วมกับทางแรบบิท ดิจิทัลกรุ๊ป เพราะเขามีทีม Production in-house ที่ทำงานได้แบบครบวงจร ทำให้การเริ่มต้นตั้งแต่คิดเรื่องคอนเซปต์และกระบวนการทำงานต่างๆ สำเร็จได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว ยิ่งเป็นแคมเปญใหญ่ที่เร่งด่วนในการช่วยเหลือสังคมแบบนี้ ผมเชื่อว่านี่เป็นความเจ๋งของทุกฝ่ายเลยครับ
คุณปภพ : สำหรับผมรู้สึกยินดีมากครับ ที่ได้ร่วมมือกับทาง GQ ได้แบบราบรื่นและวางขายสินค้าได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพราะกระบวนการผลิตเรื่องสินค้ากลุ่มแฟชั่นไม่ใช่เรื่องง่าย การที่จะปรับเปลี่ยนดีไซน์ทันที ต้องวางแผนเรื่องไลน์การผลิตและกระบวนการต่างๆ
แต่แคมเปญครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า GQ ให้ความร่วมมืออย่างดีและแคมเปญนี้เดินหน้าได้อย่างรวดเร็วและราบรื่นทั้งหมดนี้ อยู่ภายใต้วิสัยทัศน์และแนวคิดเพื่อสังคมของคนไทยด้วยกันครับ ผมเชื่อว่าในสถานการณ์แบบนี้ การที่ทุกคนร่วมมือกันช่วยเหลือกันฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกัน จะช่วยให้ทุกคนผ่านปัญหาต่างๆ ไปได้ครับ และขอบคุณทาง GQ ที่เชื่อมั่นในไอเดียของ แรบบิท ดิจิทัล กรุ๊ป และทีมงานในการนำเสนอและต่อยอดเข้าสู่การผลิตจริงได้ครับ
ในสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 นี้ ความช่วยเหลือและความร่วมมือกันของประชาชนและภาคธุรกิจ แม้ต่างคนจะเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ในการผลักดันประเทศ แต่เรื่องราวดีๆ เหล่านี้จะช่วยผลักดันสังคมให้เกิดเรื่องราวที่มีคุณค่าต่อคนไทยทั้งประเทศได้อย่างแน่นอน
สนใจสั่งซื้อ GQ Limited Distance Edition T-Shirt – White คลิกเลย
สนใจสั่งซื้อ GQWhite™ Liquid-Repellent Reusable Mask คลิกเลย
สนใจสั่งซื้อ GQWhite™ Liquid-Repellent Reusable Black Mask คลิกเลย