เป็นอีกครั้งที่กองบก. thumbsup มีโอกาสได้สัมภาษณ์เจ้าของเพจ Facebook แต่คราวนี้ไปไกลถึงแดนอาทิตย์อุทัย และมีดีกรีติดอันดับ Top 150 ของเพจที่มีคน Like มากที่สุดในโลก! เพจที่ว่านี้ก็คือ ?Tokyo Otaku Mode?
เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์ Naomitsu Kodaka Co-founder ?Tokyo Otaku Mode? ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 17 เดือนก็มีคนกด Like กว่า 6.3 ล้านคนเลยทีเดียว และนี่ถือเป็นครั้งแรกของการให้สัมภาษณ์กับสื่อไทย เราลองไปพูดคุยกับเขาถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาในการทำเพจนี้ให้ประสบความสำเร็จกันเลยดีกว่า
thumbsup: เมื่อเอ่ยถึงคำว่า ?Otaku? ส่วนใหญ่แล้วจะเข้าใจว่าเป็นกลุ่มคนที่ชอบในบางสิ่งบางอย่างแบบสุดขั้วหัวใจ แต่บางคนก็มองว่าเป็นแค่เฉพาะเรื่องการ์ตูนเท่านั้น เราเลยอยากรู้ความหมายที่แท้จริงของคำๆ นี้สำหรับคนญี่ปุ่นมันหมายถึงอะไรกันแน่
Naomitsu: Otaku เคยถูกใช้ในความหมายสำหรับคนที่คลั่งไคล้ด้านอนิเมชั่นโดยเฉพาะ เช่น การ์ตูน หรือการแต่งตัวเลียนแบบตัวละครในการ์ตูน ในปัจจุบันความหมายของคำว่า Otaku ได้เปลี่ยนแปลงไปบ้าง อย่างที่คุณถามมาเลยครับ คือเราใช้คำว่า Otaku กับหลายกลุ่ม เช่น Train Otaku, History Otaku เป็นต้น
thumbsup: Tokyo Otaku Mode ถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร และอะไรเป็นแรงผลักดันให้สร้าง Facebook เพจนี้ขึ้นมา
Naomitsu: Tokyo Otaku Mode (“TOM”) เปิดตัวเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2011 ช่วงเวลาไม่นานหลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่นนะครับ เราได้รับแรงบันดาลใจอย่างแรงกล้าที่จะส่งคอนเทนต์แบบดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่นเราให้สู่สายตาชาวโลกซึ่งเป็นความชอบที่เราอยากทำอยู่แล้ว และอยากให้สิ่งที่เราสร้างนี้ช่วยฟื้นฟูกำลังใจให้กับชาวญี่ปุ่นของเราหลังจากเกิดหายนะครั้งใหญ่นั่นเองครับ
thumbsup: ปัจจุบันมีทีมงานกี่คนที่ช่วยกันดูแลเพจนี้
Naomitsu: ประมาณ 10 คนครับ ที่เป็นคนทำงานเต็มเวลา แต่ถ้ารวมพวกที่ทำงานแบบไม่เต็มเวลาด้วย เช่น พวกอาสาสมัคร หรือเด็กฝึกงาน น่าจะราวๆ 50 ได้นะ
thumbsup: รู้มาว่าหน้าเพจนี้มีอัตราการเติบโตที่สูงมากเลยทีเดียว ภายใน 17 เดือนก็มีคน Like เพจสูงถึง 6.3 ล้านคนเลยทีเดียว (ยอดปัจจุบันถึง 8.1 ล้านคนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว) ในความเห็นของคุณ คุณคิดว่าอะไรเป็นประเด็นหลักที่ทำให้เติบโตอย่างรวดเร็วแบบนี้ ถ้าให้ คิดคือหนึ่งคุณสื่อสารกับผู้ใช้ด้วยภาษาอังกฤษ และสองเป็นเพราะหลายคนทั่วโลกก็ชอบวิถีทางแบบ Otaku ใช่หรือไม่
Naomitsu: ผมคิดว่ามีด้วยกัน 3 ประเด็น
- ภาษา: อย่างที่บอกใช่ครับ เราใช้ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาสากลตั้งแต่แรก เพื่อที่ว่าคนส่วนใหญ่จะสามารถเห็นได้ง่ายและกลายเป็นแฟนเพจของเรา?โดยปัจจุบันกว่า 90% นั้นมาจากนอกประเทศญี่ปุ่นเสียด้วยสิ
- ความต่อเนื่องสม่ำเสมอ: เราไม่เคยหยุดทำตรงนี้ตั้งแต่วันที่เราเริ่มทำวันแรก เราโพสตลอด 365 วันรวมถึงช่วงเทศกาลคริสมาสต์หรือปีใหม่?เราเป็นสื่อเต็มเวลา เรารู้ว่ามีแฟนเพจรอเราอยู่ ดังนั้นเราโพสทุกวัน ความต่อเนื่องที่เราได้กล่าวมา ทำให้แฟนเพจเกิดความรู้สึกอยากรู้ว่าวันนี้คอนเทนต์ของเราจะเป็นอะไรนะ และอยากติดตามเพจของเรา
- คอนเทนต์: คอนเทนต์ที่เราโพสต์ ปกติอยู่ในโตเกียวซึ่งเป็นแหล่งของคอนเทนต์ Otaku รวมถึงวัฒนธรรมและเหตุการณ์ที่สามารถพบเห็นได้ทุกวันและทุกที่ ดังนั้นเราจะมีคอนเทนต์ดังกล่าวอยู่มากมาย หยิบยกประเด็นหลักๆ และนำมาโพส อันนี้เป็นสิ่งที่เราชอบและเราก็หวังว่าแฟนๆ ของเราจะชอบในสิ่งที่เราได้โพสต์เช่นเดียวกัน บางครั้งผมก็รู้สึกว่า โตเกียวเป็นเหมือนมิลานหรือปารีสในอุตสาหกรรมแฟชั่น ซึ่งคนรับรู้ได้ถึงแบรนด์และความสุดยอด เช่น “การมาถึงของฤดูใบไม้ผลิจาก Milano”…
thumbsup: บริหารจัดการดูแลเพจอย่างไรบ้าง โพสต์ถี่แค่ไหน
Naomitsu: เราได้แบ่งหน้าที่หลักๆ ออกเป็น 4 ส่วนด้วยกันดังนี้ครับ
- คนค้นหา / คนใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมทีมก็จะทำด้านนี้
- คนตรวจสอบแก้ไข
- คนแปล
- คนโพส
คนค้นหาและคนใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมทีมจะรวบรวมคอนเทนต์ Otaku คนตรวจสอบแก้ไขจะตัดสินใจคัดเลือกคอนเทนต์ ส่งต่อให้คนแปล แล้วก็ส่งให้คนโพส อันนี้เป็นวงจรงานที่เราทำทุกๆ วัน
thumbsup: คุณพอจะจำได้ไหมว่าโพสต์ไหนมียอดคนกด Like เยอะสุดและสร้างการมีส่วนร่วมได้มาก
Naomitsu: จริงๆ ผมจำไม่ได้นะ แต่คอนเทนต์ที่ดีที่สุดเมื่อเดือนที่แล้วน่าจะเป็นอันนี้?เป็นการนำภาพตัวการ์ตูนสวยๆ หลากหลายรูปแบบในงาน Festival มาให้ชมกันเป็นการอุ่นเครื่องก่อน?เรามียอดคนกดไลค์ 21,010 คน ยอดแชร์ 2,607 คน และยอดแสดงความคิดเห็น 579 ครับ
thumbsup: รูปภาพส่วนใหญ่ที่แชร์ใน Tokyo Otaku Mode ทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของคุณหรือเปล่า
Naomitsu: ไม่ใช่ลิขสิทธิ์ของผมหรอกครับเพราะเราเป็นสื่อ เราเสนอข่าว เหตุการณ์และบางทีก็ได้รับคอนเทนต์จากเจ้าของลิขสิทธิ์โดยตรง เรามีสัมพันธภาพที่ดีกับเจ้าของลิขสิทธิ์เพราะเราได้ขออนุญาตจากพวกเขาแล้วก่อนที่จะโพสต์ครับ
thumbsup: ณ ปัจจุบันนอกเหนือจาก Facebook แล้ว ทาง Otaku Mode ยังใช้สื่อโซเชียลมีเดียใดอีกบ้าง
Naomitsu: เรามีทวิตเตอร์ครับ แต่ทวิตเตอร์มันไม่ค่อยเหมาะสำหรับการโพสพวกรูปภาพแบบที่เราทำเพราะมันเหมาะกับการโพสต์แบบข้อความมากกว่า Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดสำหรับเราเพราะเพื่อนกับเพื่อนติดต่อสื่อสารกันได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันเหมาะสมกับคนที่สนใจเรื่องคล้ายๆ กัน อย่างเช่น?Otaku ไงครับ (ยิ้ม)
thumbsup: แล้วยังมีบริการอื่นๆ อีกไหม?
Naomitsu: ตอนนี้เรามีแอพฯ บน iPhone อย่าง ?Otaku Camera? ที่พึ่งปล่อยออกมาได้ไม่นาน เท่าที่ดูก็มีเพื่อนๆ ชาวไทยหลายคนโหลดไปใช้กันพอสมควรนะครับ เคยขึ้นไปที่อันดับ 1 ของหมวด Photo & Video และอันดับ 2 ของทุกหมวดในไทย คุณสามารถนำรูปของคุณมาแล้วใช้แอพฯ ของเราปรับแต่งให้เหมือนคุณกำลังหลุดเข้าไปอยู่หนังสือการ์ตูน
นอกจากนี้เรากำลังเปิดตัวบริการ OtakuMode ที่มีลักษณะคล้ายๆ กับ Pinterest แต่ทำขึ้นมาเพื่อผู้รัก Otaku โดยเฉพาะ จากเดิมที่ปกติบน Facebook การที่เพื่อนๆ จะมาโพสต์เองบนเพจ นั้นรูปที่แสดงอยู่จะถูกจัดเข้าไปในมุมเฉพาะ (ตาม Facebook Timeline รูปแบบใหม่) ยากต่อการดู และถ้าโพสบน Wall ตัวเองก็กระจัดกระจาย เราเลยนำแนวคิดของ Pinterest มาใช้ เปิดให้เพื่อนๆ เข้ามาแชร์กันได้มากขึ้น ใครชอบรูปไหนก็กดปุ่ม ?Suki? (คล้ายๆ ?Like?) ให้กับภาพนั้นได้ครับ
thumbsup: ถ้าคุณได้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกการ์ตูน คุณอยากเป็นตัวการ์ตูนตัวไหน
Naomitsu: โกคู เรื่องดราก้อนบอลล์ครับ (ยิ้ม) มีความกล้าหาญและความเก่งในตัว
thumbsup: มีคำแนะนำดีๆ ที่จะให้กับผู้ดูแล Facebook เพจ ในการที่จะสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับแฟนๆ และทำให้มีแฟนจำนวนมากได้อย่างไร
Naomitsu: อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วนะครับ คำแนะนำของเราคือ
- ถ้าเป้าหมายคุณคือต้องการขยายสู่ต่างประเทศอยู่แล้ว ภาษาก็ต้องเป็นภาษาอังกฤษตั้งแต่วันแรกเลยดีกว่า จะทำให้ได้แฟนจำนวนมาก
- ถ้าต้องการสร้างสายสัมพันธ์อันดี ที่สำคัญก็คือ ต้องมีความต่อเนื่องสม่ำเสมอ และ คอนเทนต์จะดูเยี่ยมมากถ้ามีความโดดเด่นและมีความเฉพาะตัว, ชัดเจนสร้างความแตกต่างจากผู้อื่น และต้องดึงดูดผู้คนได้ สุดท้าย โปรดสนุกกับการจัดการหน้า Facebook เพราะเราตอนนี้อยู่ในยุคของโซเชียลมีเดียและผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกสามารถเข้าถึงเพจของคุณจากสิ่งที่คุณโพสต์ได้ครับ
~*~?*~?*~?*~?*~?*~?*~?*~?*~?*~?*~?*~?*~?*~?*~?*~?*~?*~?*~?*~?*~?*~
เราเรียนรู้อะไรจากเพจ “Tokyo Otaku Mode”
แน่นอนว่าหนึ่งในความสำเร็จตัวสำคัญที่สุดของเพจนี้ไม่ใช่สิ่งอื่นใด แต่มันคือความเป็น “Otaku” นั่นเอง ซึ่งจัดเป็นหนึ่งใน?”ซอฟท์พาวเวอร์” (Soft Power) ของญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นมีความสามารถในการสร้างอิทธิพลทางด้านวัฒนธรรมและแพร่หลายไปยังทั่วทุกมุมโลกมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมการกินอาหารญี่ปุ่น, การ์ตูนดังอย่าง โดราเอมอน, ตัวแทนความน่ารักอย่างตุ๊กตาคิตตี้, J-POP, มังงะ, การออกแบบสินค้าไร้แบรนด์อย่าง MUJI และอื่นๆ อีกมากมาย เยอะแค่ไหนไม่รู้ แต่ถ้าเมื่อพูดถึงญี่ปุ่นแล้วคุณเห็นภาพทางวัฒนธรรมอะไรบางอย่างที่คุณชื่นชอบลอยเข้ามาในหัวแล้วล่ะก็ นั่นแหล่ะหนึ่งใน “ซอฟท์พาวเวอร์” ของญี่ปุ่น
เมื่อ “Otaku” ได้รับการแพร่หลายและถูกยอมรับเป็นทุนเดิมจากทั่วทุกมุมโลกอยู่แล้ว ประกอบกับการปรับภาษาให้เป็นเสมือนสื่อท่อส่งตัวสำคัญให้ถึงคนเหล่านั้นได้ และอาศัยคุณสมบัติการดูแลแฟนเพจที่ดี ไม่ว่าจะเป็นความเอาใจใส่,?ความสม่ำเสมอในทุกๆ วัน?การทำคอนเทนต์ให้ดูน่าดึงดูด ทั้งหมดนี้จึงส่งผลให้ “Tokyo Otaku Mode” ติดลมบนได้สบายๆ
ศัพท์น่ารู้ : ซอฟท์พาวเวอร์ (Soft Power) หมายถึง พลังอำนาจและอิทธิพลในด้านวัฒนธรรม หรือเศรษฐกิจเป็นตัวนำหน้า ไม่ใช่ความแข็งแกร่งทางด้านการเมือง หรือการทหาร