Site icon Thumbsup

Rakuten ยักษ์ใหญ่ e-commerce สัญชาติญี่ปุ่นเผย เตรียมลงทุนในธุรกิจต่างๆ กว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

แม้วันสุดท้ายของเดือนมิถุนายนพึ่งจะผ่านพ้นไป แต่ดูเหมือน Rakuten ยังมีภารกิจมากมายและดูเป็นปีที่ยุ่งสำหรับบริษัท เพราะนอกจากการซื้อ Viber บริการ messaging app ด้วยมูลค่า 900 ล้านดอลล่าร์แล้ว ยังได้ทำการลงทุนเพิ่มขึ้นในหลายบริษัททั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในญี่ปุ่นเอง เช่น บริษัท Carousell, Visenze, Coda Payments และ Send Anywhere จากเงินลงทุนมูลค่ากว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ในตอนนี้ Rakuten ยังคงเพ่งเล็งเพื่อลงทุนในบริษัทต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาคบนโลก และเปิดกองทุนจำนวนถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยจะมุ่งเน้นไปยังกลุ่ม startups ในประเทศอิสราเอล อเมริกา และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ซึ่งกองทุนนี้จะถูกจัดสรรและดำเนินการโดยหุ้นส่วน Rakuten Ventures ในสิงคโปร์ ทาง Saemin Ahn ผู้บริหารได้กล่าวว่า “เป้าหมายของเราคือการลงทุนในระยะยาวกับเหล่า startups ที่มีศักยภาพทางด้านเทคโนโลยีที่สามารถช่วยอำนวยความสะดวกและสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า และเมื่อเวลาผ่านไปจะส่งผลให้มีการเติบโตของธุรกิจเหล่านี้รวมเป็นระบบ มีการเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยี สมาชิก และผลตอบแทนทางการเงินในที่สุด”

แม้ว่า Rakuten ยังไม่ได้เผยว่าบริษัทผู้โชคดีรายไหนที่กำลังจับจ้องอยู่ แต่พวกเขาจะร่วมลงทุนกับกลุ่ม startups ที่มีนัยสำคัญเชิงกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ ทางบริษัทไม่เพียงให้ความสำคัญกับกลุ่มบริษัท mobile เท่านั้น แต่ยังสนใจในธุรกิจด้าน mobile commerce อย่าง Carousell หรือตลาดระหว่างผู้บริโภค และ CodaPayments ที่ทำธุรกิจด้าน e-payments และ Visenze กลุ่ม startup ด้าน digital content ด้วย

กว่า 2 ปีที่ผ่านมา การร่วมลงทุนและการเข้าซื้อกิจการของ Rakuten ดูเหมือนจะมุ่งเน้นการทำตลาดแข่งกับคู่แข่งรายสำคัญอย่าง Amazon เห็นได้จากการนำ Viber มาเพิ่มแพลตฟอร์ม e-reading หรือ “Kobo” ด้วยจำนวนเงินมูลค่า 315 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือการเพิ่มบริการวิดีโอ “Viki” ในเงินลงทุนกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งทางบริษัทไม่ได้เปิดเผยกลยุทธ์ที่แท้จริง แต่อ้างว่าบริษัทต้องการเพียงเพิ่มความหลากหลายทางธุรกิจจากการเข้าร่วมลงทุนและซื้อกิจการเท่านั้น ทั้งนี้ก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าการกว้านซื้อและลงทุนในกิจการต่างๆ นั้น ทาง Rakuten ม้ามืดสัญชาติญี่ปุ่นจะวางการตลาดและพัฒนาธุรกิจไปในทิศทางใด

ที่มา : Techcrunch