JD.com และกลุ่มเซ็นทรัลหรือ Central Group แจ้งเกิดแอปพลิเคชันบริการด้านการเงินชื่อ Dolfin กลายเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดหลังจากประกาศความร่วมมือด้านอสังหาฯ ค้าปลีก และการค้าร่วมกัน ความน่าสนใจของ Dolfin อยู่ที่ผู้ค้า ธุรกิจขนาดย่อม และผู้เช่าพื้นที่ห้างสรรพสินค้าเครือเซ็นทรัลทุกรายกำลังจะสามารถใช้งานได้ คาดว่าจะดึงผู้ใช้ทะลุ 4 แสนรายได้สบายในปีนี้
การเปิดตัวแอปพลิเคชันการเงินของ JD.com และกลุ่มเซ็นทรัลถูกวิเคราะห์ว่าเป็นความพยายามที่จะขยายการมีตัวตนในธุรกิจดิจิทัลของทั้งคู่ ตามรายงานของ Reuters ย้ำว่าเป็นการขยายธุรกิจให้ครอบคลุมรอบด้านเพื่อปักหลักในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างจริงจัง
ครบเครื่องเรื่องเงิน
สำหรับ Dolfin เป็นบริการที่มีฟังก์ชั่นกระเป๋าเงินดิจิทัลหรือ e-wallet ขณะเดียวกันก็มีบริการสินเชื่อดิจิทัล ผู้สนใจสามารถทำประกันภัยบนแอปได้ ร่วมกับการเลือกซื้อกองทุนเพื่อบริหารสินทรัพย์หรือ wealth management ได้เหมือนมีธนาคารขนาดย่อมในมือ
ตามข้อมูลของ JD Central Fintech ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง JD.com และ Central Group แอปนี้จะสามารถรองรับการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต, ระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) ของรัฐบาลไทย และบริการเติมเงิน e-wallet
JD Central Fintech ตั้งเป้าว่าจะดึงดูดผู้ใช้ประมาณ 400,000 คนให้ได้ภายในสิ้นปี 2562 และจะเพิ่มให้เป็น 1.5 ล้านคนให้ได้ในปีหน้า 2563 ประเด็นนี้ซีอีโอ JD Central Fintech อย่าง “รุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูลย์” กล่าวว่าธนาคารใหญ่ของไทยขานรับเป็นพันธมิตรของแอปแบบจัดเต็ม ทั้งธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงเทพ โดยธนาคารกรุงศรีอยุธยามีกำหนดที่จะเข้าร่วมในภายหลัง
เฟส 2 ลุยผู้ค้า
สำหรับแอปพลิเคชั่น Dolfin ฝั่งผู้ค้า (merchant version) นั้นมีกำหนดเปิดให้บริการในปีหน้า ซึ่งธุรกิจขนาดย่อม และผู้เช่าพื้นที่ห้างสรรพสินค้าเครือเซ็นทรัลจะสามารถใช้งานได้
การประกาศเป้าหมายผู้ใช้แอป Dolfin ถือเป็นความคืบหน้าล่าสุดหลังจาก JD.com และกลุ่มเซ็นทรัลจัดตั้งบริษัทร่วมทุนมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปลายปี 2560 โดยมุ่งเน้นให้บริการการเงินเพื่อการช็อปปิ้งและการเงินส่วนบุคคล นอกเหนือจาก JD Central Fintech แล้ว ความร่วมมือระหว่างทั้งคู่ยังรวมถึงการสร้างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ซึ่งกำลังแข่งขันกับแพลตฟอร์มเช่น Shopee และ Lazada เพื่อเจาะตลาดช้อปปิ้งออนไลน์ของประเทศไทยให้ดีกว่าเดิม
สำหรับ JD.com ข้อมูลน่าสนใจคือยักษ์เล็กจีนรายนี้ได้รับเงินจำนวน 550 ล้านเหรียญสหรัฐจาก Google ในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ซึ่งไม่ได้มีเป้าหมายเฉพาะที่อาเซียน โดยทั้ง 2 บริษัทจะพัฒนาโซลูชั่นการช็อปปิ้งออนไลน์สำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐอเมริกา และยุโรปด้วย.
ที่มา: TIA