เมื่อหลายปีก่อน ผมเคยเขียน Blog ไว้ตอนหนึ่งเรื่อง Jessica Jackley: ความยากจน เงินตรา และความรัก วันนี้อยากจะมาอัพเดตเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพราะเรื่องที่เคยเขียนไว้มันเปลี่ยนไปหมดแล้ว เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้ชาว startup ทั้งหลายครับ
ผมเขียนบทความนี้เพราะหลงเข้าไปที่ TED.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์แหล่งรวมของคลิปวิดีโอที่เกี่ยวกับการให้แรงบันดาลใจกับคน ทั่วโลก และจะมีคนหมุนเวียนกันเข้ามาพูดในฟอรั่มนี้ มีตอนหนึ่งที่ผมสะดุดใจกับมันมากๆ นั่นก็คือ “Jessica Jackley: Poverty, money — and love”
Jessica เป็นหญิงสาวชาวอเมริกันผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Kiva.org เว็บไซต์ Online Micro-lending ที่เปิดให้คนจนทั่วโลกเข้ามากู้เงินจากเราได้แบบไม่มีดอกเบี้ย โดยมีจุดหมายว่าให้คนจนที่อยากจะสร้างกิจการหาเลี้ยงตัวเองนั้นเข้ามากู้ เงินจากคนบนโลกอินเทอร์เน็ตได้ คือแทนที่เราจะให้เปล่าๆ แต่เราทำตัวเป็นแบบธนาคารกรามีนของ โมฮัมหมัด ยูนุส* ซะเลย นั่นคือปล่อยเงินกู้ที่ให้กับผู้ประกอบการที่ยากจนที่ปกติแล้วไม่สามารถกู้ เงินจากธนาคารใหญ่ๆ ได้ เพราะธนาคารทั่วไปไม่ปล่อยให้คนจนกู้อยู่แล้ว เธอบอกว่า “ฉันรู้สึกตื้นตันกับไอเดียนั้นมากๆ ฉันเลยลาออกจากงานของฉัน ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและย้ายไปอาฟริกาตะวันออกเพื่อช่วยเหลือคน” ปลายปี 2005 เธอร่วมก่อตั้ง Kiva.org กับ แมทท์ แฟลนเนอรี่ (Matt Flannery)
[ted id=983 lang=th]
Jessica เล่าในวิดีโอว่า เธอลาออกจากงานตำแหน่งใหญ่ที่อเมริกา และบินไปดินแดนที่ยากจนที่สุดในโลก นั่นคือทวีปอาฟริกา แม้ไม่ได้มีเงินมากมาย เพียงแต่รู้สึกว่า เธอ “ต้องทำ” สิ่งนี้ ถ้าไม่ได้ทำมันจะตาย ทั้งหมดนี่เพื่อไปทำงานกับอาสาสมัครที่อาฟริกา เสร็จแล้วสร้างทีมงานอาสาสมัครที่อาฟริกาเพื่อจัดการติดต่อกับชาวบ้านที่อาจ เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ยาก เป็นตัวกลางคอยผสานระหว่างชาวบ้านในอาฟริกากับ “ผู้ให้กู้” ทั่วโลกผ่านทาง Kiva.org
Kiva ใช้โมเดลแบบ peer-to-peer ซึ่งรวบรวมรายชื่อคนจนที่ขอกู้ยืมเงินมาใส่ไว้ในเว็บ แล้วให้เราชาวอินเทอร์เน็ตเข้าไปปล่อยเงินกู้ ตัวอย่างเช่น ชาวนาในเขมร, เภสัชกรในซีเรีย, และร้านขายของชำในมองโกเลีย เงินให้กู้ขั้นต่ำคือ 25 เหรียญสหรัฐฯ โดยไม่มีดอกเบี้ย ที่น่าสนใจคืออัตราการคืนเงินสูงถึง 98% และเธอได้กล่าวต่อไปอีกว่า นับตั้งแต่ก่อตั้งมา มีคนกว่า 700,000 คนทั่วโลกให้เงินกู้ผ่าน Kiva.org ถึง 128 ล้านเหรียญแก่คนยากจนถึง 325,000 คน โปรเจ็คต์ล่าสุดของเธอคือ ProFounder แพลตฟอร์มสำหรับการช่วยผู้ประกอบการ SME ในสหรัฐฯ สร้างเนื้อสร้างตัวผ่านทาง community ใน ProFounder
แต่หลังจากที่ผมติดตามข่าวของเธอก็พบว่าล่าสุดในปี 2012 เธอได้ประกาศปิดบริษัท ProFounder ไปเรียบร้อยด้วยเหตุผลที่ว่าติดข้อกฏหมายหลายๆ อย่างทำให้บริษัทไม่สามารถที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ต่อไปได้ ปัจจุบันเธอรวมเอาบริษัทของเธอไปอยู่กับ GOOD ซึ่งเป็น Social Network ของการทำ Social Good ซึ่งก็เหมาะกับเธอดีครับ
สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเธอก็คือการกล้าที่จะออกมาทำอะไรที่หัวใจเรียกร้อง ถึงแม้ว่าตอนหลังเธอจะยังไม่ประสบความสำเร็จในด้านเงินทองมากนัก แต่ดูเธอมีความสุขมากๆ กับการเป็น Social Entrepreneur และบรรยายตามสถานที่ต่างๆ ว่าแล้วก็ติดตามดูเธอต่อไปครับ