ในบทความ Series ฉลอง 15 ปี Pantip.com คราวนี้ นอกจากจะสัมภาษณ์ “วันฉัตร” และ “อภิศิลป์” แล้ว เพื่อให้ครอบคลุมถึงบรรยากาศรอบๆ ตัวทีมงาน เราจึงได้พูดคุยกับ “คนใกล้ชิด” ของ Pantip ในหลายๆ เรื่อง และ thumbsup เชื่อว่านี่จะเป็นเนื้อหาที่จะทำให้คุณเข้าใจวัฒนธรรมของ Pantip ได้ละเอียดยิ่งขึ้น เราจึงได้ทาบทาม Jetboat สมาชิกและอดีตพนักงาน Pantip เบอร์แรกๆ มาเขียนบทความในแบบ Guest Post ให้กับเราในชื่อตอนว่า วัฒนธรรมการทำงานแบบ Pantip.com ขอเชิญเสพย์…
ถ้ายุคแรกของการก่อตั้ง Pantip.com คือยุคที่พี่วันฉัตร, บอย macroart, และพี่เอ WebGanzter เทียบได้กับการตัดสายสะดือแล้ว? ยุคที่พวกผมเข้ามาในช่วง Y2K เป็นต้นมา ก็น่าจะเรียกว่าเป็น ?ยุคตั้งไข่ และลองผิดลองถูก?
วันแรกที่ผมเดินเข้ามาที่ทำการของ Pantip.com อย่าเรียกมันว่าเป็นออฟฟิศเลยครับ… เพราะสิ่งแรกที่พนักงานใหม่แบบผมทำคือ กวาดพื้น เช็ดพื้น และเริ่มทำงานโดยนั่งมุงหน้าจอ 14 นิ้ว คอมฯ เครื่องเก่าๆ จากบ้านพี่วันฉัตร คนที่ร่วมกันใช้ คือผม พี่วันฉัตร พี่พจน์ พ่อบ้านประจำ Pantip.com (Moderator แห่ง Pantip) พี่วันฉัตรกับบุคลิกของ Pantip มันเป็นสิ่งที่แทบจะแยกไม่ออกกันเลยทีเดียว ภาพพี่วันฉัตรที่หลายคนคนคุ้นเคย ก็คงเป็นผู้ชายใส่เสื้อลายสก๊อต ผมหน้าม้า กางเกงทรงลุง หน้าตายิ้มๆ นิ่งๆ ดูทรงภูมิ เหมือนกำนันที่ขี่จักรยานเอี๊ยดอ๊าดดูลูกบ้าน…. บุคลิกเว็บ Pantip กับทีมงานข้างในก็แบบเดียวกัน? ใจดี คุยง่าย แต่ก็กฎก็คือกฎ
Pantip ในช่วงที่ผลัดใบ เราเริ่มพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรๆ เท่าที่จะคิดออก… ตั้งแต่การเปลี่ยนจากสีฉากหลังจากดำทะมึน กลายมาเป็นสีขาวฟ้า (สีเว็บไซต์ของ Pantip ในส่วนคาเฟ่ จะมีพื้นสีกรมท่าที่ดูทึบ) ที่โดนเสียงผู้ใช้ซัดมาราวกับห่าฝน นั่นก็เป็นบทเรียนแรกที่ทำให้ทีมงานต้องรู้จักฟังเสียงผู้ใช้? วัฒนธรรมการนั่งทำงานที่ Pantip นั้น… จะนั่งกันเสียงเงียบกริบ มีแต่เสียงหยิบเมาส์ และเคาะแป้นโครมคราม? สิ่งเดียวที่ดูจะขับเคลื่อนใต้เสียงสงัด คือสารพัดไอเดีย ในทุกๆ ครั้งเมื่อเราคิดอะไรออก เราก็จะเดินไปที่โต๊ะแล้วบอก พี่…ทำแบบนี้ๆ กันมั้ย นั่นทำให้ช่วงนึงของ Pantip อะไรที่คนอื่นเค้าไม่ทำกัน การทำถ่ายทอดสด การเอาคนที่ถูกพูดถึงในกระทู้มานั่งสัมภาษณ์ หรือ Live Chat และอื่นๆ สารพัด มันก็ดูเหมือนได้พาตัวเองออกไปแนะนำตัวให้โลกภายนอกรู้จักเราในทางหนึ่ง ยุคสมัยนั้นอินเทอร์เน็ตไม่ได้เป็นหนึ่งในสื่อหลักแบบปัจจุบัน
ช่วงลองผิดลองถูกในฐานะคนทำงาน ผมก็เคยแอบคิดนิดๆ ว่าทำไมว้า… ทีมเราไม่ได้มีตังค์เหมือนเว็บอื่นๆ ที่มีกลุ่มทุนบ้าง บอกใครเค้าไปว่าทำอาชีพนี้ ก็ถูกมองว่าไม่ได้มีความมั่นคง ก็แบบที่พี่วันฉัตรพูดออกสื่อนั่นล่ะครับว่ารายรับพอปริ่มๆ นั่นคือเรื่องจริงมากๆ? พอวันนี้ที่ผ่านจุดตั้งไข่ ผมถึงเข้าใจได้ว่า ?ทำไมวันฉัตรถึงไม่ขาย Pantip หรือให้ใครมาร่วมทุน? คือ ถ้าวันนึงเราทำตามสิ่งที่เราคิด ชัดเจนในสิ่งที่เราเป็น สิ่งดีๆ มันจะเข้ามาเอง ก็เหมือน Logo ของเว็บ ที่เป็นต้นกระบองเพชร มั่นคงอยู่ในทุกสภาวะ ทั้งแดดฝน ค่อยๆ เติบโตขึนมาอย่างอดทน และยั่งยืน
วันนี้…วันที่ Pantip เริ่มชัดเจนในตัวตนว่าอะไรคือสิ่งที่ทำแล้วใช่ตัวเองที่สุด… แต่ในมุมผม หลังการค้นพบแบบนี้ บางทีมันก็ทำให้ Pantip ดูนิ่งไปมากเหมือนกัน การมีเลือดใหม่เข้ามาในยุคของ Pantip 3G? น่าจะนำพาความเปลี่ยนแปลงขับเคลื่อนตามยุคสมัยเข้ามาบ้าง? สิ่งหนึ่งที่อยากฝากทิ้งท้าย ผมจำได้ว่า… พี่วันฉัตรเคยบอกไว้ ถ้า Pantip เป็นโรงแรม… ทีมงานก็เหมือนบริกร คงไม่ไปโดดสระน้ำเดียวกันร่วมกับแขกแน่ๆ สมัยที่ผมอยู่นั้นก็แหกกฎนั้นซะกระจุย? ลุยไปขลุก กับ User ไปซะครึ่งเว็บ… วันนี้ผมก็ยังยืนยันความคิดนี้
วัฒนธรรมความคิดแบบ Pantip ที่ปรับเปลี่ยนอะไรๆ เพื่อผู้ใช้ นั่นคือสิ่งที่ดี แต่การดึงคนด้วยการพัฒนาฟีเจอร์เพื่อเชื่อมต่อผู้คนคงไม่พอ ทีมงานต้องเข้าไปนั่งในใจผู้ใช้ด้วย คือ Pantip ต้องพยายามอุดรูรั่ว User คุณภาพไม่ให้ไหลออกไป คือต้องทำตัวเลขตรงนี้ให้น้อยกว่า Active User? ที่เข้ามาใหม่? เพราะทุกวันนี้เครื่องมือในการสร้างสังคมสร้างเว็บมีเยอะ และทำง่ายมาก ผมไม่แน่ใจนักนะครับว่า Pantip ได้มีการพูดคุยกันภายในเรื่อง CRM บ้างหรือไม่ แต่ผมมองว่า การเก็บผู้ใช้ที่มีคุณภาพเอาไว้ การวิเคราะห์พฤติกรรม ความคิด ความรู้สึก ผู้ใช้แบบเจาะลึกลงมากขึ้น ลงมาพูดคุยมากขึ้น เข้าถึงง่ายมากขึ้น? สัมผัสกันง่ายขึ้น จะทำให้สมาชิกจะไม่ต้องรู้สึกว่านั่นเค้าเป็นแค่ผู้ใช้ที่ผ่านมา แต่ตัวเว็บและทีมงานนั่นต่างหาก ที่เป็นเพื่อนเป็นพี่น้องของพวกเค้า แบบที่พวกผมเคยได้รับความรู้สึกแบบนั้นกันมา? 🙂
– – – – –
กรุณาติดตามบทความ ฉลอง 15 ปี Pantip.com ตอนที่ 4 ในวันนี้
หากคุณชื่นชอบการนำเสนอของ thumbsup กรุณาเปิดโอกาสให้เรานำเสนอข่าวถึงคุณได้ง่ายขึ้น ด้วยการคลิก Like ที่ Fan Page ของเรา หรือ Follow เราที่ Twitter ด้วยนะครับ