เชื่อว่าตอนนี้หลายๆ องค์กรน่าจะพบกับความท้าทายในการหาคนทำงานที่ต่างจากเมื่อ 10 – 20 ปีก่อนอยู่พอสมควร โดยเฉพาะเป็นยุคที่คนทำงานกลุ่ม Baby Boomers ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่ทำงานหนักและอยู่กับองค์กรมาตั้งแต่เริ่มต้น เริ่มเข้าสู่วัยเกษียณกันมากขึ้น ขณะที่วัยทำงานรุ่นใหม่อย่างชาว Millennials ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทกลายเป็นบุคลากรคนสำคัญที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนองค์กรแทนชาว Baby Boomers มากขึ้นเช่นกัน เราจึงมีคำแนะนำที่น่าสนใจจาก JobDB มาฝากกันสำหรับองค์กรที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในยุคเปลี่ยนผ่านดังกล่าว ซึ่งสิ่งที่องค์กรต้องเตรียมการให้พร้อมมีดังต่อไปนี้
1. ส่งต่อการทำงานให้กับคนยุค Millennials
ปัจจุบัน พบว่า คนทำงานรุ่นก่อนอย่างกลุ่ม Baby Boomers จะค่อย ๆ ลดบทบาทลง และเกษียณกันไป ขณะเดียวกันคนทำงานกลุ่ม Millennials กำลังทยอยเข้ามาเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจหรือองค์กรภายใต้แนวคิดใหม่ๆ และรูปแบบการทำงานที่แตกต่างไปจากเดิม ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่องค์กรควรตระหนักถึงคือการวางแผนกลยุทธ์ในการสรรหาว่าจ้างและบริหารจัดการคนทำงานกลุ่มนี้ พร้อมกับวางแผนพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับบทบาทการทำงานในด้านการบริหารจัดการที่จะมาถึงของคนกลุ่มนี้ด้วย
2. สร้างสมดุลให้ชีวิตด้วยเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น
นอกจากเงินเดือน และสวัสดิการทางด้านการเงินแล้ว คนทำงานกลุ่ม Millennials ยังให้ความสำคัญมากกับเรื่องสมดุลชีวิตกับการทำงาน เนื่องจากคนทำงานในยุคนี้ ให้ความสำคัญกับการทำงาน และการเข้าสังคมหรือทำกิจกรรมกับเพื่อนฝูงเท่า ๆ กัน ดังนั้น องค์กรที่ให้ความสมดุลชีวิตกับการทำงาน และมีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นได้ มักจะดึงดูดใจคนทำงานกลุ่มนี้ การมีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น ยังช่วยทำให้พนักงานได้สร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมให้กับองค์กร โดยที่ไม่เสียเวลากับการใช้ชีวิตส่วนตัวของพวกเขาด้วย ซึ่งวิธีการนี้จะได้รับประโยชน์ทั้งกับองค์กรและคนทำงาน ฉะนั้น การเข้า-ออกงานเป็นเวลาจะค่อย ๆ หายไปในไม่ช้า การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะคนทำงานกลุ่มนี้ ค่อย ๆ เข้ามามีบทบาทกับวัฒนธรรมองค์กร เวลาการทำงานที่ยืดหยุ่นจะเข้ามาแทนที่การเข้า-ออกงานที่เป็นเวลา
3. มีสถานที่ทำงานและชุดทำงานที่ดูสบายมากขึ้น
คนทำงานจำนวนมากในยุคนี้ นิยมทำงานจากที่อื่น ที่ไม่ใช่ออฟฟิศ หรือทำงานจากที่บ้าน วัฒนธรรมการทำงานจึงดูไม่เป็นทางการจนเกินไป ส่วนเรื่องการแต่งกายไปทำงาน เมื่อก่อนการแต่งชุดฟอร์มขององค์กรเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ต่อมานโยบายชุดฟอร์มองค์กรได้เปลี่ยนแปลงไป เพราะคนทำงานกลุ่ม Millennials จะชื่นชอบการแต่งตัวสบายๆ หรือตามสไตล์ของตนเองไปทำงานมากกว่าที่จะแต่งตัวตามชุดฟอร์มที่องค์กรกำหนดให้ ดังนั้น เพื่อดึงดูดและรักษาคนทำงานกลุ่มนี้ไว้ องค์กรจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง โดยเริ่มจาก หากไม่จำเป็นต้องเข้ามาทำธุระที่ออฟฟิศ ก็สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ รวมถึงเปลี่ยนแปลงนโยบายการแต่งกายชุดทำงานให้ดูสบายมากขึ้น ไม่ทางการเกินไป โดยลดการใส่สูท ผูกไท แล้วเปลี่ยนเป็นการใส่เสื้อเชิ้ตที่ดูลำลองขึ้นกับกางเกงยีนส์แทน
4. ระบบการประเมินผลการทำงานที่ยืดหยุ่น
คนทำงานกลุ่ม Millennials ต้องการเปลี่ยนการประเมินผลการทำงานประจำปี จากเดิมที่ต้องรอให้ครบปีแล้วค่อยประเมินผลการทำงาน แต่คนทำงานยุคใหม่นี้ ไม่ชอบคอยให้ครบปี เนื่องจากพวกเขาเติบโตมากับการใช้อินเทอร์เน็ต จึงมีพฤติกรรมที่ตอบสนองไว ด้วยการโต้ตอบกันใน Social media หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ ทำให้พวกเขามีความอดทนน้อยกว่าคนรุ่นก่อน คนกลุ่มนี้จึงต้องการการฟีดแบคที่รวดเร็วและบ่อยครั้ง เพื่อที่จะสามารถนำฟีดแบคมาปรับปรุงการทำงานได้ทันที มากกว่าที่จะรอให้ถึงการประเมินผลการทำงานประจำปีมาถึง หากต้องการให้องค์กรก้าวไปข้างหน้า ควรเริ่มใช้ระบบการประเมินผลการทำงานเป็นประจำหรือเป็นรายเดือน เพื่อให้ผลการทำงานเป็นไปตามเป้าหมายและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
5. บอกลาการทำงานแบบลำดับขั้น เป็นสร้างสรรค์งานด้วยทีมเวิร์ค
คนทำงานกลุ่ม Millennials เติบโตมาพร้อมกับการแบ่งปันความคิดและเสนอความคิดเห็นผ่าน Social media หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ พวกเขาจึงชอบที่จะทำงานร่วมกันกับทุก ๆ คนแบบเท่าเทียมกัน มากกว่าการทำงานแบบลำดับขั้นเหมือนเมื่อก่อน และเมื่อพวกเขามีตำแหน่งงานที่สูงขึ้น พวกเขาก็จะถ่ายทอดการทำงานร่วมกันในองค์กรแบบเท่าเทียม ไม่แบ่งลำดับขั้นเช่นกัน ดังนั้น องค์กรควรปรับรูปแบบการทำงาน ให้คนทำงานทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์งานที่เท่าเทียม ไม่ใช้วิธีควบคุมการทำงาน ไม่แบ่งลำดับขั้น ไม่แบ่งลำดับการบังคับบัญชาอีกต่อไป เพราะสภาพแวดล้อมในการทำงานที่คนทำงานยุคนี้ต้องการ คือการทำงานที่ใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงาน และสนับสนุนให้ทำงานร่วมกัน แบ่งปันความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เพื่อให้งานออกมาดี และประสบความสำเร็จ
จะเห็นได้ว่ามีความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านคนทำงานรุ่นเก่าไปสู่คนทำงานรุ่นใหม่อยู่ค่อนข้างมาก ซึ่งองค์กรที่กำลังพบกับความท้าทายเหล่านี้อยู่ หากไม่มีการวางแผนล่วงหน้าก็อาจประสบปัญหาติดขัด ไม่สามารถก้าวทันการแข่งขันของธุรกิจก็เป็นได้