ต้องบอกว่าเป็นบรรยากาศที่แตกต่างจากคู่แข่งในแวดวงเดียวกันไม่น้อยกับการแถลงข่าวทิศทางธุรกิจลูกค้าบุคคลและเครือข่ายบริการ รวมถึงกลยุทธ์ด้าน Mobile Banking ของธนาคารกสิกรไทยเมื่อเช้าที่ผ่านมา ที่ผู้บริหารเลือกสร้างเสียงหัวเราะและยิงมุกตลกต่าง ๆ บนเวทีมากมาย กระทั่งยอมสวมวิก “น้องฮุ่ย” หนังภาพยนตร์โฆษณาตัวใหม่ของธนาคารในการถ่ายภาพหมู่
โดยความน่าสนใจของการแถลงกลยุทธ์ในครั้งนี้ของกสิกรไทยคือการเปิด 4 คุณสมบัติใหม่ของแอปพลิเคชัน K Plus ประจำไตรมาสแรกของปีนี้ และการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาใหม่ เรื่อง Friendshi(t)p ที่กำกับโดย เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ เพื่อสื่อสารถึงเป้าหมายใหม่ที่กสิกรไทยจะก้าวไป นั่นคือการพัฒนาให้สามารถบริการลูกค้าได้อย่างไร้รอยต่อ ทั้งลูกค้าบุคคลและลูกค้าเจ้าของกิจการ รวมถึงการนำ BigData เข้ามาใช้ร่วมกับระบบ Analytics เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยง ตลอดจนการให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล ฯลฯ ของธนาคารให้ดีขึ้น และเข้าถึงลูกค้าได้แบบ Personalized มากขึ้น
โดยสถิติที่ผ่านมาของแอปพลิเคชัน K Plus และ K Plus Shop ที่น่าสนใจประกอบด้วย
- มีผู้ใช้ 7.5 ล้านราย
- มียอดทำธุรกรรม 3 พันล้านรายการต่อปี
- ปริมาณการทำธุรกรรมมีมูลค่า 6.3 ล้านล้านบาท
- มีผู้เข้าใช้งานเป็นประจำ 80%
- มีการชำระเงินด้วย QR Code ผ่านระบบ 1.3 ล้านรายการ มูลค่าการทำธุรกรรม 811 ล้านบาท
- มีร้านค้าบน K Plus Shop จำนวน 800,000 ร้านค้า
- มีจำนวนธุรกรรมบน K Plus Shop 1.4 ล้านรายการ
- มีมูลค่าการทำธุรกรรมบน K Plus Shop รวม 1,100 ล้านบาท
- เป็นแอปพลิเคชันที่มีการดาวน์โหลดมาติดตั้งสูงเป็นอันดับที่ 5 ของประเทศไทย (จากการจัดอันดับของ Brandmaker โดยเป็นรอง LINE, Facebook, Facebook Messenger และ Instagram แต่สามารถเอาชนะ Joox Music, Lazada ได้
จากสถิติเหล่านั้น กสิกรไทยจึงได้ออกมาประกาศว่า
- ตั้งเป้าผู้ใช้เป็น 10.8 ล้านรายภายในสิ้นปีนี้
- ตั้งเป้าการช้อปสินค้าบนแอปพลิเคชัน K Plus ว่าจะมี 30 ล้านรายการเป็นอย่างน้อย
- มียอดซื้อขายผ่านระบบ e-Marketplace กว่า 600 ล้านบาทในระยะเวลา 1 ปีหลังเปิดให้บริการ
- เพิ่มร้านค้าเป็น 1 ล้านแห่งภายในสิ้นปี
โดยคุณสมบัติใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามาเพื่อให้กสิกรไทยไปถึงจุดหมายประกอบด้วย
Quick Pay
จากที่เราได้เคยรีวิวในเรื่องของการใช้งานแอปพลิเคชันเพื่อชำระเงินผ่าน QR Code ไว้ครั้งหนึ่งว่า ความยุ่งยากประการต้น ๆ ของการจ่ายด้วย QR Code คือ กว่าผู้ใช้งานจะเข้าถึงในส่วนของ QR Code ได้ก็ต้องใช้เวลานานมาก เพราะต้องผ่านทั้งขั้นตอนล็อกอิน ป้อนรหัส ฯลฯ มากมาย ธนาคารกสิกรไทยจึงได้แก้ไขในจุดนี้ด้วยการสร้างฟังก์ชัน Quick Pay ออกมาไว้ด้านหน้าแอปพลิเคชันเลย ทำให้สามารถสแกน QR Code จ่ายเงินได้แม้ไม่ต้องล็อกอินเข้าระบบ
การเรียกเก็บเงินได้ผ่าน Social Media
เป็นการแก้ Pain Point อีกข้อหนึ่งของการชำระเงินด้วย QR Code เนื่องจากที่ผ่านมา เมื่อมีการส่ง QR Code จากผู้ค้าให้ผู้ซื้อผ่านสมาร์ทโฟนนั้น ทางฝั่งผู้ซื้อต้องหาสมาร์ทโฟนอีกเครื่องหนึ่งมาสแกน จึงจะสามารถจ่ายเงินได้ แต่ความสามารถใหม่ที่กสิกรไทยพัฒนาขึ้นมานั้น จะสร้าง QR Code ในรูปของบิลจากร้านค้าขึ้นมาให้เลย จากนั้นก็เพียงส่งบิลดังกล่าวไปให้กับฝั่งลูกค้า ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Facebook Messenger, LINE, Instagram, WhatsApp ฯลฯ เมื่อลูกค้าคลิกที่บิลนั้นจะเข้าสู่การชำระเงินได้เลย โดยที่ไม่ต้องหาโทรศัพท์อีกเครื่องมาสแกน QR Code นั้น ๆ อีกต่อไป
การนำ BigData มาใช้ในบริหารความเสี่ยงของการให้สินเชื่อ
ในจุดนี้ กสิกรไทยมองว่ามีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายอยู่แล้วประมาณ 700,000 – 800,000 ราย จากลูกค้าสินเชื่อที่มีอยู่ประมาณ 2,000,000 ราย ซึ่งการให้สินเชื่อผ่านช่องทางดังกล่าว จะไม่ต้องใช้เอกสารอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ขณะที่ในส่วนของดอกเบี้ยก็อาจจะสูงขึ้นนิดหน่อย เพื่อ
การช้อปปิ้งสินค้าบน K Plus
กสิกรไทยต้องการให้ K Plus เป็นตลาดนัดออนไลน์ที่ลูกค้าสามารถเข้ามาเลือกซื้อสินค้าได้ และมีสินค้าหลากหลายให้เลือกซื้อ ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางของการทำรายได้
ส่วนเรื่องของการลดคน ลดสาขาที่กำลังเป็นเทรนด์ของแวดวงการเงินนั้น ทางกสิกรไทยบอกว่าธนาคารยังไม่มีแผนจะลดคน และปิดสาขา เนื่องจากมองว่า สามารถใช้สาขาที่มีอยู่ในการให้บริการลูกค้าให้ดีขึ้นได้
ภาพยนตร์โฆษณา Friendshi(t)p เจาะให้ถึงความแมส
นอกจากเรื่องของคุณสมบัติใหม่แล้ว อีกหนึ่งคอนเทนต์ที่น่าจะทำให้กสิกรไทยเจาะเข้าถึงใจคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้นก็คงเป็นเรื่องของภาพยนตร์โฆษณาเรื่อง Friendshi(t)p นี้ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กสาวจากต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพชื่อ “ฮุ่ย” ซึ่งเธอพยายามมากกับการหาเพื่อนใหม่ แต่ด้วยความที่คุยกับใครไม่รู้เรื่อง เพราะเธอยังไม่แมสพอ เพื่อนที่ต่างจังหวัดเลยแนะให้เธอคุยเรื่องของแอปพลิเคชัน K Plus จะได้แมสเหมือนกับคนอื่น ๆ เขา เรื่องราวตลกปนฮาของฮุ่ยจึงได้เริ่มขึ้น
คอนเทนต์นี้ตั้งใจทำเพื่อสื่อสารไปยังคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฮุ่ย และด้วยเนื้อหาที่ตลกได้ใจ ฝีมือผู้กำกับคนดัง เต๋อ-นวพล ทำให้น่าจะเข้าถึงใจคนรุ่นใหม่ได้ไม่ยาก