หลังจากที่ KFC เปิดตัวตู้คิออสสำหรับให้ผู้บริโภคสามารถสั่งอาหารได้ด้วยตัวเองมาสักระยะนั้น ก็มีรายงานว่า ตู้คิออสดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จในฮ่องกง จนทำให้ทางบริษัทต้องพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในการรับออเดอร์ที่มีมูลค่าถึง 5 ล้านเหรียญฮ่องกง หรือประมาณ 22,106,908 ล้านบาทเลยทีเดียว
สาเหตุที่ทำให้ตู้คิออสนี้ไม่ประสบความสำเร็จบนเกาะฮ่องกงนั้นถูกเปิดเผยว่ามาจากความยุ่งยากในการใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผู้บริโภคต้องการสั่งพายแอปเปิล พวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องเลือกหมวดไหน ซึ่งการเสิร์ชหาหมวดอาหารนั้น กลายเป็นเรื่องยุ่งยากจนชาวฮ่องกงปฏิเสธการใช้ตู้คิออสดังกล่าวไปในที่สุด
เมื่อตู้คิออสไม่ประสบความสำเร็จ KFC จึงตัดสินใจพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่อาจกลายเป็นนวัตกรรมด้านการสั่งอาหารในอนาคต นั่นคือเครื่องรับออเดอร์อัตโนมัติ ที่มาพร้อมหน้าจอ OLED โดยรองรับได้ทั้งภาษาจีนกวางตุ้งและภาษาอังกฤษ ส่วนการจ่ายเงินก็สามารถชำระได้ผ่าน Visa payware, Android Pay หรือ Apple Pay ก็ได้
ความไฮเทคของเครื่องรับออเดอร์อาหารนี้คือ มันสามารถรับออเดอร์ได้จากเสียงพูดของลูกค้าได้เลยไม่ว่าจะเป็นการสั่งโดยใช้ภาษาอังกฤษหรือจีนกวางตุ้ง โดยมีอัตราความสำเร็จของการรับออเดอร์ที่ 80% ซึ่งถือว่าสูงมาก
นอกจากนั้น ระบบรับออเดอร์ใหม่ของ KFC นี้ยังใช้ Big Data ในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อการให้บริการกับลูกค้าของ KFC ได้แบบรายบุคคลด้วย
โดยร้านค้าที่จะนำระบบใหม่มาใช้จะต้องปรับปรุงในส่วนของการสั่งอาหารก่อน ซึ่งทาง KFC ระบุว่าจะเหลือเคาท์เตอร์แคชเชียร์แค่ 1 จุด และจะโอนพนักงานให้มาดูแลส่วนส่งมอบอาหารให้กับลูกค้าแทน
ผลจากการเปิดตัวระบบใหม่นี้พบว่า สามารถให้บริการลูกค้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นพนักงานบริษัท ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจเทคโนโลยีและสามารถใช้งานระบบนี้ได้อย่างสะดวก
นอกจากพัฒนาระบบสั่งอาหารอัตโนมัติแล้ว ทาง KFC ยังเปิดตัวแอปพลิเคชันสั่งอาหารเพื่อให้ผู้บริโภคสั่งอาหารผ่านโทรศัพท์มือถือได้แล้วด้วย ซึ่งผู้ที่จะใช้งานได้ต้องสมัครสมาชิก KFC ก่อน
จากการพัฒนาเทคโนโลยีทั้งหมดนี้ KFC คาดว่าจะมียอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพื่อสั่งอาหารทะลุ 200,000 ครั้งใน 6 เดือนแรก และจะสามารถเพิ่มยอดสมาชิกให้บริษัทได้ราว 400,000 รายภายในสิ้นปี 2017 ในส่วนของรายได้คาดว่าจะทำรายได้เพิ่มขึ้น 5% ในชั่วโมงเร่งด่วนด้วย
ที่มา: Marketing-Interactive