ไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับแบรนด์ที่มีอายุยาวนานที่จะยืนระยะ Brand Life Cycle ให้อยู่ในช่วงเติบโตอยู่เสมอ การเลือกใช้กลยุทธ์ทำให้แบรนด์ทันสมัยและพาแบรนด์เข้าไปอยู่ในไลฟสไตล์ของคนรุ่นใหม่ให้ได้ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่หลายแบรนด์เลือกใช้
การพลิกโฉมแบรนด์ครั้งใหญ่ครั้งนี้ของ “ตรากิเลน” แบรนด์ระดับตำนานด้านสมุนไพรไทย-จีนที่มีอายุยืนยาวคู่คนไทยมากว่า 132 ปีก็เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่พิสูจน์ความเก๋าของแบรนด์ที่สามารถปรับตัวให้ใกล้ชิดผู้คนได้ทุก Generation เบื้องหลังจะมีเรื่องราวและแนวคิดอย่างไร ติดตามอ่านกันได้ที่นี่
“เก๋าจริง…ยิ่งใหญ่” ผ่านมาหลายยุคสมัยกว่าจะเป็น “ตรากิเลน”
จุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของตำนานยา “ตรากิเลน” เริ่มมาตั้งแต่สมัยปี 2434 โดยนายแป๊ะ แซ่ลิ้ม ผู้ก่อตั้งบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) เดินทางจากจีนมาเปิดร้านขายยา “เต๊ก เฮง หยู” ในย่านสำเพ็งและเป็นที่เลื่องลือจากการนำสูตรตำรายาสมุนไพรโบราณจากศาสตร์การแพทย์แผนจีนโบราณของบรรพบุรุษในชื่อ “ยากฤษณากลั่น” ช่วยบำบัดอาการโรคท้องร่วงและอาการปวดท้องต่าง ๆ โดยมี “ตรากิเลน” เป็นเครื่องหมาย
“ยากฤษณากลั่น ตรากิเลน” เป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง กระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงแนะนำให้ทหารเสือป่าและประชาชนใช้ ยากฤษณากลั่น ตรากิเลน ไว้ในหนังสือพระราชนิพนธ์กันป่วย เนื่องด้วยเหล่ากองเสือป่าเสนาหลวงที่ไปซ้อมรบ ส่วนมากป่วยเป็นท้องร่วงอย่างรุนแรง จนผู้ที่มียากฤษณากลั่น ตรากิเลนติดตัว ได้ให้ผู้ป่วยรับประทานก็หายหมดทุกราย ไม่มีใครเป็นอันตราย จากนั้นท่านก็ได้ทรงประทานเข็มเสือป่าและพระราชทานนามสกุล “โอสถานุเคราะห์” อันมีความหมายว่า ช่วยเหลือด้วยยา ให้กับนายแป๊ะ แซ่ลิ้ม
หลังจากนั้นชื่อของ “ยากฤษณากลั่น ตรากิเลน” ก็ได้กลายเป็นยาสมุนไพรในครัวเรือนคนไทยและขยายกิจการด้านยาสมุนไพรตำรับอื่น ๆ อีกมากมายภายใต้แบรนด์เดียวกันที่แค่พูดชื่อแล้ว หลายท่านในที่นี้ก็น่าจะคุ้นหูไม่มากก็น้อย อาทิ โบตัน, ยาธาตุ ๔, อุทัยทิพย์ และทัมใจ เป็นต้น
เบื้องหลังของโลโก้ “ตรากิเลน” นั้น เป็นสัญลักษณ์ของกิเลนถือคัมภีร์อันมีแสงสว่างอยู่เบื้องหลัง โดย “กิเลน” ถือเป็นสัตว์มงคลจากสวรรค์ตามตำนานเก่าแก่ของจีน จะปรากฏตัวอยู่ในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ มาพร้อมคัมภีร์ความรู้อันเป็นสัญลักษณ์ของนักปราชญ์ และพระอาทิตย์ที่เปรียบเหมือนแสงสว่างของชีวิต
เนื่องในโอกาสครบรอบ 132 ปี ผลิตภัณฑ์ “ตรากิเลน” ก็ได้สร้างความท้าทายครั้งใหม่ ด้วยการพลิกโฉมแบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานให้มีความร่วมสมัย เพื่อบอกต่อเรื่องราว ตำนาน “กิเลน” ในบริบทใหม่ให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัสประสบการณ์และเข้าใจถึงคุณค่า ภูมิปัญญาแพทย์สมุนไพรไทยจีนที่จะช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
การพลิกโฉมแบรนด์ครั้งใหญ่ผ่านมือศิลปินไทย ผลงานแบรนด์ระดับโลก
สำหรับ “ตรากิเลน” ในบริบทใหม่นี้ เรียกได้ว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับตัวแบรนด์ไม่น้อยที่จะทำให้คนรุ่นใหม่เข้าถึง รวมถึงการสร้างภาพจำใหม่ ๆ ที่มีความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน ระหว่างผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ตรากิเลนที่ต่างมีสรรพคุณเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็น ยากฤษณากลั่น(แก้ท้องเสีย ปวดท้อง), ยาธาตุ๔(แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ), โบตัน(หอมสดชื่น ชุ่มคอ) และอุทัยทิพย์(แก้ร้อนใน ดับกระหาย) เพื่อตอกย้ำภาพแบรนด์ให้แข็งแกร่งขึ้น
โดยเริ่มต้นจากการปรับดีไซน์โลโก้แบรนด์และแพ็คเก็จจิ้งใหม่ผ่านฝีมือการดีไซน์ของ “คุณยูน – ปัณพัท เตชเมธากุล” ศิลปินไทยผู้ที่มีผลงานดีไซน์ร่วมกับแบรนด์ระดับโลกมาแล้วมากมาย เข้ามาร่วมโปรเจกต์ในครั้งนี้ โดยเริ่มต้นจากการออกแบบผลิตภัณฑ์ยาสีฟันโบตัน ต่อเนื่องมาถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ครบวงจร โดยปรับดีไซน์ผลิตภัณฑ์ให้มีความโมเดิร์นวินเทจยิ่งขึ้น ผ่านการเลือกโทนสีของโลโก้และแพ็คเก็จจิ้งที่มีความสดใสมากขึ้น
ใกล้ชิด Pop Culture คนรุ่นใหม่ ด้วยการร่วมงาน Bangkok Design Week 2023
นอกจากจะปรับดีไซน์ของผลิตภัณฑ์ใหม่หมดแล้ว ตรากิเลนก็ได้ใช้โอกาสนี้เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้นด้วยการ เข้าร่วมในงานเทศกาลออกแบบ “Bangkok Design Week 2023” เมื่อวันที่ 4-12 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา เนรมิตรนิทรรศการในชื่อ “Kilane Crimson Garden” ถ่ายทอดเรื่องราวตำนานแบรนด์ตรากิเลนจากรุ่นสู่รุ่น พร้อมเผยโฉมโลโก้และแพคเกจจิ้งรูปแบบใหม่ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดพร้อมกันเป็นครั้งแรก
ซึ่งนิทรรศการครั้งนี้ก็ได้ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ Kilane Crimson Garden สื่อถึงดินแดนสวนสมุนไพรสีแดงอันทรงพลังในสไตล์โมเดิร์นวินเทจ ผสมผสานศิลปะวัฒนธรรมไทย-จีนเข้าด้วยกัน ผ่านเรื่องราวของตราสัญลักษณ์ “กิเลน” ดอกโบตั๋นและลวดลายพรรณไม้นานาชนิดท่ีสะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ ความเป็นธรรมชาติของผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างชัดเจน
รวมถึงภายในนิทรรศการก็ยังมีไฮไลท์พิเศษอย่างโซนบริการขนมและเครื่องดื่มสูตรพิเศษที่ได้นำผลิตภัณฑ์ตรากิเลนมาเป็นวัตถุดิบ รังสรรค์โดย “คุณเป่าเป้-เจสสิก้า หวัง” เชฟสาวมากฝีมือ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ Pop Culture ของคนรุ่นใหม่ที่นิยมพักผ่อนหย่อนใจในเมืองด้วยการเสพงานศิลป์ ชิมเมนูดังในคาเฟ่ต่าง ๆ ถือเป็นการปรับตัวของแบรนด์เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงคนรุ่นใหม่อย่างใกล้ชิด ซึ่งงานนี้ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีไม่น้อย
ถือได้ว่าเป็นอีกแบรนด์ในจำนวนไม่มากนักในไทยที่สามารถยืนระยะเวลาและได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมายาวนานถึง 132 ปี กาลเวลาก็ได้พิสูจน์ถึงความเก๋าและยังสะท้อนถึงคุณภาพของสินค้าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาได้หลายยุคสมัย ด้วยแนวคิดที่พร้อมปรับตัวให้แบรนด์ยังคงเป็นที่พูดถึงอยู่เสมอ