ท้าชน Netflix เต็มๆ!! เมื่อ Walt Disney เปิดตัวบริการสตรีมมิ่งตัวใหม่อย่าง Disney+ ดู Marvel, Star Wars และ National Geographic รวมถึงสารคดี, ภาพยนตร์ และซีรีส์อื่นๆ ได้ในราคา 6.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน ส่วน CEO ของ Disney อย่าง Bob Iger ประกาศลงจากตำแหน่งภายในปี 2564
วันนี้ (12 เมษายน 2562) Disney ได้ตัวแพลตฟอร์มบริการสตรีมมิ่งอย่าง Disney+ ซึ่งแพ็คเกจรายเดือนราคาเริ่มต้นที่ 6.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 223 บาท) และยังมีการออกแพ็คเกจคิดเงินรายปีอยู่ที่ 69.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2,230 บาท) ตกเดือนละ 5.83 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 185 บาท)
รายละเอียดของบริการ Disney+
It all starts on November 12. For more info: https://t.co/RD04P7jdAT #DisneyPlus pic.twitter.com/M1QI7qkH5p
— Disney (@Disney) April 12, 2019
ภายในปีแรก Disney+ จะปล่อยซีรีส์ของตัวเองออกมา 25 ตัว และภาพยนตร์ของตัวเองออกมา 10 ตัว ซึ่งคอนเทนต์ที่อยู่ในแพลตฟอร์มจะมีทั้งสารคดี, ภาพยนตร์ และซีรีส์จาก Pixar, Marvel, National Geographic, Star Wars และผู้ผลิตอื่นๆ เช่น
Live Action Series:
- High School Musical: The Musical: The Series
- The Mandalorian
- Diary of a Female President
- The Falcon and the Winter Solider
- Loki
- Untitled Cassian Andor Series
- WandaVision
Animated Series & Shorts:
- Forky Asks a Question
- SparkShorts
- Lamp Life
- Monsters at Work
- Star Wars: The Clone Wars
- Marvel’s What If…?
Documentaries, Unscripted Series & Live Specials:
- Encore!
- Untitled Walt Disney Imagineering Documentary Series
- Marvel’s Hero Project
- The World According to Jeff Goldblum
- Be Our Chef
- Cinema Relics: Iconic Art of the Movies
- Into the Unknown: Making Frozen 2
- Magic of Animal Kingdom
- Marvel’s 616
- (Re)Connect
- Rogue Trip
- Shop Class
- Earthkeepers
- Ink & Paint
Original Films
- Lady & The Tramp
- Noelle
- The Phineas and Ferb Movie
- Stargirl
Thrilled to share a first look at Disney+ with you! pic.twitter.com/iiqjFjaNra
— Robert Iger (@RobertIger) April 11, 2019
ก่อนหน้านี้ The Walt Disney เข้าซื้อกิจการ 21st Century Fox เป็นมูลค่า 71,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา ทำให้ Disney มีคอนเทนต์อื่นๆ มากขึ้นไปอีก เช่น The Simpsons ทั้ง 30 ซีซัน และ Hotstar สตรีมมิ่งรายใหญ่ในอินเดีย รวมถึงยังเป็นเจ้าของ ESPN เคือข่ายคอนเทนต์กีฬาที่มีผู้สมัครใช้บริการมากกว่า 2 ล้านราย
อีกทั้ง Disney ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน Hulu ผู้ให้บริการสตรีมมิ่งรายใหญ่ในสหรัฐฯ ที่มีแผนขยายบริการสู่ทั่วโลกอีกด้วย
น่าจับตาว่าหลังจากนี้จะมีคอนเทนต์อะไรเข้ามาอยู่ใน Disney+ อีกบ้าง เพราะ Disney ก็ระบุในงานเปิดตัวว่าภายใน 5 ปีนี้ จะปล่อยซีรีส์ออกมา 50 ตัว และภาพยนตร์ออกมา 10 ตัว อีกด้วย
โดยประเทศสหรัฐอเมริกาจะเป็นประเทศแรกที่สามารถใช้บริการดังกล่าวได้ภายในวันที่ 12 พฤศจิกายนปีนี้ และ Disney ระบุว่าจะเร่งขยายบริการสู่ประเทศอื่นๆ ให้ได้ภายใน 2 ปีนี้
CEO Disney ประกาสลงจากตำแหน่งในปี 2564
ผมกำลังคาดการณ์ว่าสัญญาจะหมดอายุภายในสิ้นปี 2564 และที่ผมเคยพูดว่า ‘ครั้งนี้ผมหมายถึงแบบนั้น’ แต่ผมก็ได้พูดไปก่อนแล้ว ผมเป็น CEO มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 และอย่างที่ผมพูดไปหลายครั้งว่าเรามีเวลาสำหรับทุกสิ่ง และในปี 2564 จะเป็นเวลาที่ผมลงจากตำแหน่ง
นี่คือคำพูดของ CEO Disney อย่าง Bob Iger ที่ประกาศจะลงจากตำแหน่งภายในสิ้นปี 2564 หลังจากที่เขาดำรงตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ปี 2548 ระหว่างการแถลงข่าวกับเหล่านักลงทุน
เขาเคยต่อสัญญามาถึงปี 2561 และต่อสัญญาอีกครั้งถึงปี 2564 และเมื่อปิดดีลการควบรวมกิจการของ Fox เข้ากับ Disney ได้สำเร็จในปี 2562 เขาก็จะเป็น CEO ต่อไปอีกสองปี
ผมเคยมีส่วนร่วมกับบอร์ดมาระยะหนึ่ง และมีการพูดคุยกันเรื่องการรับช่วงต่อ และบอร์ดก็เข้ามามีส่วนช่วยในกระบวนการรับช่วงต่อนี้ด้วย และพวกเรารู้สึกว่าบอร์ดจะสามารถหาผู้รับช่วงต่อได้อย่างทันเวลา ซึ่งถือว่าบริษัทสามารถเปลี่ยนผ่านได้อย่างราบรื่น
ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือออกมาด้วยว่า Disney ปรับโครงสร้างภายในด้วยการตั้ง 2 ผู้บริหารระดับสูงให้มาเป็นผู้รักษาการการดำเนินงาน CEO คนเดิม ได้แก่ Kevin Mayer, Head of strategy ถูกตั้งให้เป็น Chairman of a new direct-to-consumer and international segment และ Robert Chapek, Head of parks ก็จะเข้ามาดูเรื่องของ Consumer products อีกด้วย
ส่วนอดีต Consumer products head อย่าง James Pitaro ก็กำลังถูกพิจารณาว่าจะให้มารับตำแหน่ง CEO ในช่วงรักษาการณ์ด้วยเช่นกัน
Iger ถือเป็นบุคคลสำคัญที่ผลักดันการเข้าซื้อกิจการบริษัทต่างๆ หลายครั้ง เช่น Pixar เมื่อปี 2549, Marvel เมื่อปี 2552 และ Lucasfilm เมื่อปี 2555 รวมถึงยังเป็นผู้ผลักดันให้มีการเปิดตัวบริการ Disney+ อีกด้วย