LG เผยผลประกอบการจากเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและโฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์สร้างผลกำไรประจำไตรมาสแรกของปี 2561 สูงสุดเท่าที่เคยมีมา โดยข่าวประชาสัมพันธ์จากทางแอลจี อีเลคทรอนิคส์ อิงค์ (แอลจี) ประเทศเกาหลีใต้ เผยรายได้ยอดขายรวมมูลค่า 14.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.51 แสนล้านบาท) และกำไรจากการดำเนินการมูลค่า 1.03 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.30 หมื่นล้านบาท)
สำหรับไตรมาสแรกประจำปี 2561 โดยมียอดขายเติบโตขึ้นจากไตรมาสแรกของปีที่แล้วที่ 3.2 เปอร์เซ็นต์ และรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นผลกำไรและรายได้ประจำไตรมาสแรกที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติการณ์ของบริษัท และยังเป็นผลกำไรประจำไตรมาสที่สูงที่สุด นับตั้งแต่ไตรมาสที่สองของปี 2552 เป็นต้นมา
กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและโซลูชั่นเครื่องปรับอากาศ และกลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์รายงานผลกำไรจากการดำเนินงานประจำไตรมาสด้วยมูลค่าสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา จากการที่ทั้งสองกลุ่มผลิตภัณฑ์ได้สร้างสถิติใหม่ด้วยผลกำไรจากการดำเนินงานที่เติบโตในอัตราเลขสองหลัก ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่ผลกำไรโดยรวมของสองหน่วยธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัทมีมูลค่าสูงกว่า 1 ล้านล้านวอนเกาหลีใต้ (ประมาณ 932.04 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 2.98 หมื่นล้านบาท) นอกจากนี้ การดำเนินงานของแผนกธุรกิจลูกค้าองค์กรยังได้สร้างผลกำไรประจำไตรมาสอย่างแข็งแกร่ง ในขณะที่ยอดการขาดทุนจากกลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือและกลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ลดลงในไตรมาสที่ผ่านมา
กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและโซลูชั่นเครื่องปรับอากาศ เผยรายได้ที่ 4.59 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.47 แสนล้านบาท) และผลกำไรจากการดำเนินงานที่ 515.51 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.65 หมื่นล้านบาท) โดยยอดขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เครื่องปรับอากาศและเครื่องซักผ้าระดับพรีเมียม ซึ่งรวมถึงโมเดลใหม่ๆ ของเครื่องอบผ้าและผลิตภัณฑ์ LG Styler ได้เติบโตขึ้นในตลาดภายในประเทศเกาหลี ในขณะที่ยอดขายรวมของทวีปยุโรป เอเชียและละตินอเมริกาเติบโตขึ้นที่ 9.3 เปอร์เซ็นต์จากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2560 ผลกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นที่ 8.2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2560 เนื่องจากยอดขายของผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมและประสิทธิภาพของการดำเนินงานที่สูงขึ้น ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าความต้องการจะเพิ่มสูงขึ้นอีกในไตรมาสที่สอง เนื่องจากเป็นช่วงพีคซีซั่นของผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศและตู้เย็นในตลาดซีกโลกเหนือ
กลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เผยยอดขายที่ 3.84 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.23 แสนล้านบาท) และผลกำไรจากการดำเนินงานที่ 538.07 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.72 หมื่นล้านบาท) โดยรายได้เติบโตขึ้น 7.4 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากยอดขายของผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม เช่น ผลิตภัณฑ์ทีวี LG OLED และ UHD ระดับพรีเมียม ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง กำไรจากการดำเนินงานประจำไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 76.5 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2561 เมื่อเทียบกับปี 2560 เนื่องจากความนิยมที่มีต่อผลิตภัณฑ์ทีวีระดับไฮเอนด์และโครงสร้างต้นทุนที่ถูกปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างผลกำไรจากการดำเนินงานประจำไตรมาสในอัตราเลขสองหลักได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ด้วยการเติบโตที่ 14 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ในไตรมาสที่สอง แอลจีคาดการณ์ว่าตลาดทีวีทั่วโลกจะได้รับผลประโยชน์จากการแข่งขันกีฬาระดับโลกหลายรายการที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้
กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ มียอดขายคิดเป็น 2.01 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 6.43 หมื่นล้านบาท) และงบขาดทุนจากการดำเนินงาน 126.85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.06 พันล้านบาท) ยอดขายที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ถึงแม้ว่าราคาชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ จะเพิ่มสูงขึ้น บริษัทได้ลดโอกาสการขาดทุนโดยปรับปรุงโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ ขณะที่มีการคาดการณ์ว่าตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกจะซบเซาและอาจตกอยู่ในสภาพการแข่งขันตลาดที่ค่อนข้างรุนแรงในไตรมาสที่สอง แอลจีคาดการณ์ว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีจากการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นแฟลกชิพ LG G7 ThinQ รวมถึงการเปิดตัวศูนย์อัพเกรดซอฟต์แวร์เพื่อมอบการบริการเหนือระดับให้แก่ลูกค้า
กลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ ประกาศรายได้ที่ 782.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.51 หมื่นล้านบาท) และงบขาดทุนที่ 15.84 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 5.07 ร้อยล้านบาท) โดยยอดขายของผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม อินโฟเทนเมนต์และรถยนต์ลดลงเล็กน้อยคิดเป็น 1 เปอร์เซ็นต์จากช่วงไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้วอันเป็นผลมาจากยอดขายรถยนต์ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป ส่งผลให้อนาคตการดำเนินธุรกิจของแอลจีในระยะยาวยังคงสดใส ทั้งนี้ แอลจีจะต่อยอดสร้างความแข็งแกร่งในแผนกธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ผ่านกลยุทธ์การร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่างๆ รวมถึงกลุ่มลูกค้าหลักและการร่วมมือกันระหว่างแผนกธุรกิจอื่นๆ ภายใต้แบรนด์แอลจี
แผนกธุรกิจลูกค้าองค์กร มีผลประกอบการที่ 599 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.92 หมื่นล้านบาท) และผลกำไรจากการดำเนินงานที่ 73.45 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.35 พันล้านบาท) ในช่วงไตรมาสแรก โดยเติบโต 24 เปอร์เซ็นต์ จากปีที่แล้วโดยได้รับแรงสนับสนุนจากยอดขายที่ดีของผลิตภัณฑ์จอดิจิทัลเชิงพาณิชย์และแผงโซลาร์เซลล์ประสิทธิภาพสูง แอลจีมีผลกำไรจากการดำเนินงานพุ่งสูงถึง 192 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว ทั้งนี้ เนื่องมาจากความนิยมของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ระดับพรีเมียม เช่น หน้าจอดิจิทัล LG OLED รวมถึงการตั้งราคาที่เหมาะสมเพื่อสู้กับราคาท้องตลาด โดยกระแสนี้คาดว่าจะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่สอง
ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในไตรมาสที่ 1 ของปี 2561
รายได้ที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบด้านบัญชีประจำไตรมาสของแอลจี อีเลคทรอนิคส์เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ IFRS (International Financial Reporting Standards) สำหรับช่วงสามเดือน สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2561 ทั้งนี้ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐจะเท่ากับอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยของสามเดือนในไตรมาสเดียวกัน โดยอัตราแลกเปลี่ยน ณ ไตรมาสที่ 1 ปี 2561 อยู่ที่ 32 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐฯ (ตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารแห่งประเทศไทย)