ก่อนหน้านี้มีข่าวลือออกมาพอสมควรเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ของ Facebook ล่าสุด 18 มิถุนายน 2562 Facebook ประกาศเปิดตัวสกุลเงินที่ชื่อ Libra อย่างเป็นทางการ วันนี้ Thumbsup ขอพาทุกท่านไปรู้จักกับสกุลเงินที่ทำเอาโลกสะเทือนกันก่อน
ตั้งธนาคารกลางที่คุมทั้งโลก
สิ่งแรกที่ Facebook เปิดตัว คือ Libra Association ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงกำไร ตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดอำนาจการควบคุมจากส่วนกลางของแต่ละประเทศ ย้ายมาเป็นบริษัทที่อยู่ภายในองค์กรนี้แทน
ในตอนนี้องค์กรก็ได้สร้าง Libra เพื่อเป็นสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ที่อยู่บนระบบ Blockchain ที่มีความโปร่งใส เดิมพันกับชื่อเสียงของ Facebook ที่มีปัญหาเรื่องความเป็นส่วนตัวและความโปร่งใสมาตลอด
มีพันธมิตรร่วมจำนวนมาก
สิ่งที่หลายคนให้ความสนใจหลังมี Libra เกิดขึ้นมา คือมีสมาชิกในฐานะผู้ก่อตั้งจำนวน 27 บริษัท เช่น Paypal, Spotify, Uber, Mastercard, Visa, eBay, Lyft, Vodafone, Stripe, Bookling Holding เป็นต้น
แต่ละบริษัทที่เข้าเป็นสมาชิกต้องได้รับการอนุมัติจาก Facebook และจ่ายเงิน 10 ล้านดอลลาร์ ซึ่งต้องตั้ง Node ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์เพื่อประมวลผลการทำธุรกรรมของเครือข่าย Libra ของบริษัทตัวเองอีกด้วย
สกุลเงินดิจิทัลจาก Facebook
Libra โดยระบุว่าต้องการให้เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่กลายเป็น “สกุลเงินที่ใช้ได้ทั่วโลก” หรือ “Global Currency” หวังแก้ปัญหาในหลายประเทศที่เข้าถึงระบบธนาคารไม่ได้
โดย Facebook ก็ทำกระเป๋าเงินดิจิทัลหรือ Wallet แยกจาก Libra ออกมาในชื่อ Calibra โดยเพิ่มความปลอดภัยด้วยให้มีระบบยืนยันตัวตนอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) อีกด้วย
มีความผันผวนต่ำ
สกุลนี้ถูกจัดเป็นสกุลเงินที่มีมูลค่าคงที่ หรือ Stablecoin จุดสำคัญของสกุลเงินดังกล่าวอยู่ที่มี “ความผันผวนต่ำ” นำไปซื้อขายแบบ Cryptocurrency หลายตัวไม่ได้
รวมถึงมีการตั้งกองทุนสำรอง เพื่ออ้างอิงกับเงินในสกุลหลัก เช่น ยูโร, ดอลลาร์สหรัฐ, ปอนด์ ฯลฯ เพื่อทำให้เงินสกุล Libra ที่ใช้ทรัพย์สินที่ค้ำประกันกับสกุลเงินอยู่ในอัตราส่วนที่ 1 ต่อ 1
หวังจะปฏิวัติโลกการเงิน?
ต้องยอมรับว่าก่อนหน้าที่ Facebook จะออกสกุลเงินดิจิทัล ก็มีหลายๆ Startup และธุรกิจออกระบบและสกุลเงินเพื่อหวังที่จะเป็นการแก้ปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้น
แต่ก็ยังไม่มีสกุลเงินดิจิทัลตัวไหนที่ทุกคนยอมรับแบบเป็นทางการสักที ซึ่งถ้า Libra เกิดถึงได้จริงตามที่เราเล่าไปข้างต้น โลกการเงินหลังจากนี้คงเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างแน่นอน