Site icon Thumbsup

Line ยิ้มรับผู้ใช้ฮ่องกงเพิ่มขึ้นเท่าตัวทุกวัน

Line-app-China-02

หลังจากที่ LINE ฉลองผู้ใช้งานครบ 100 ล้านคนไปเมื่อเดือนที่แล้ว ตอนนี้ดูแล้วน่าจะเดินหน้าได้อีกไกลกับอีกหนึ่งประเทศที่มียอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในทุกๆ วันที่ประเทศฮ่องกง โดยมีอัตราการเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานเท่าตัวทุกวันตั้งแต่วันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา ถือเป็นสัปดาห์ทองของ Line ในการบุกตลาดโลกอย่างแท้จริง

Line นั้นเพิ่งเปิดให้บริการเวอร์ชันภาษาจีนเมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้สื่อต่างชาติเชื่อว่า Line จะมีโอกาสเติบโตอีกมากในเอเชีย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการใช้งานภาษาจีนค่อนข้างสูง หลังจากที่ผ่านมา Line สามารถครองอันดับแอพพลิเคชันฟรียอดนิยมในประเทศอย่างสิงคโปร์และไทยได้แล้ว และล่าสุดคือฮ่องกงและไต้หวัน (ยังไม่มีรายงานจำนวนผู้ใช้ที่แน่นอน)

ความหมายของปรากฏการณ์นี้ในมุมของนักการตลาดคือการขยายฐานผู้เข้าถึง Line ที่ผ่านมา Line นั้นเปิดให้บริการฟรี แต่มีรายได้จากการจำหน่าย sticker หรือตัวการ์ตูนบอกอารมณ์และการเก็บค่าโฆษณาจากแบรนด์หรือบริษัทที่ต้องการมีชื่อบัญชีทางการหรือ Official Account จุดนี้ แบรนด์ดังสามารถประชาสัมพันธ์แบรนด์ผ่าน Line ด้วยการให้บริการ Sticker ตัวการ์ตูนพิเศษเช่นกัน ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สามารถรับส่งการ์ตูนที่เกี่ยวกับแบรนด์นั้นไปทั่วโลกในเวลาพริบตาเดียว

ปัจจุบัน Line ให้ข้อมูลว่ามีจำนวนผู้ใช้งานเกิน 100 ล้านคนทั่วโลกเมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นความสำเร็จงดงามที่เกิดขึ้นในเวลาเพียง 1 ปีครึ่งหลังจากที่ Line เริ่มให้บริการ

การเปิดเวอร์ชันภาษาจีนย่อมทำให้ตัวเลขผู้ใช้ Line เพิ่มขึ้น ซึ่งแปลว่ารายได้จากที่ Line เคยทำสถิติ 300 ล้านเยนต่อเดือน หรือประมาณ 99 ล้านบาทนั้นจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว

รายงานจาก Techcrunch ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจว่า ความนิยมของ Line ในเอเชียนั้นสะท้อนว่าแอพพลิเคชันรับส่งข้อความแชตที่ได้รับความนิยมในแต่ละภูมิภาคของโลกนั้นมีความแตกต่างกัน โดยในเอเชีย แอพพลิเคชันแชตเหล่านี้จะเน้นพัฒนาความสามารถด้านการส่งเสียง ซึ่งไม่เพียง Line แต่ทิศทางการพัฒนานี้ล้วนเกิดขึ้นในแอพอย่าง WeChat และ Kakao Talk ที่มีผู้ใช้ในเอเชียมากกว่า 300 ล้านรายและ 72 ล้านรายตามลำดับ ทั้งหมดนี้สวนทางกับ WhatsApp แอพพลิเคชันแชตสัญชาติอเมริกันซึ่งยังไม่แสดงท่าทีว่าสนใจพัฒนาความสามารถในการส่งเสียงเลย

ที่มา: Techcrunch