Site icon Thumbsup

LINE เลื่อนแผนขายหุ้น IPO (อีกแล้ว)

Line-IPO-on-off-on-off-on-off-on-off
รายงานจาก Wall Street Journal ระบุว่าบริการแชตสุดฮิตอย่าง Line ตัดสินใจเลื่อนกำหนดการขายหุ้น IPO ออกไปเป็นกลางปีหน้า ถือเป็นโรคเลื่อนที่เกิดขึ้นซ้ำ 2 หลังจาก Line ประกาศเลื่อนขาย IPO ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว

ไม่ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเกิดขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากตลาดหุ้นที่ผันผวนหรือไม่ แต่นักวิเคราะห์มองว่าปัจจัยหลักส่วนหนึ่งคือตลาดที่ Line มีอยู่ในมือยังไม่เติบโตเท่าที่ควร โดยตั้งแต่ตุลาคม 2014 ถึงเมษายน 2015 ฐานผู้ใช้ Line เพิ่มขึ้นจาก 170 ล้านรายต่อเดือน มาเป็น 205 ล้านรายต่อเดือนเท่านั้น ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับ WhatsApp ที่มีฐานผู้ใช้เพิ่มขึ้นมากกว่า 100 ล้านรายในเวลา 3 เดือน ก้าวกระโดดจาก 700 ล้านรายมาเป็น 800 ล้านราย

แผนการนำ Line เข้าตลาดนี้แพร่สะพัดไปทั่วโลกเมื่ออดีตซีอีโอ Line อย่าง Akira Morikawa กล่าวในเดือนธันวาคม 2013 อย่างมั่นใจว่า Line จะเติบโตเป็นหุ้นตัวแรงหรือ high-profile IPO คำกล่าวนี้สอดคล้องกับผู้บริหารอื่นของ Line ที่ระบุว่าบริษัทกำลังพิจารณาขายหุ้น Line ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น หรือเกาหลี อย่างไรก็ตาม การขายหุ้น IPO ของ Line ยังไม่เกิดขึ้น โดยรายงานของ WSJ ใช้คำว่า Line จะชะลอการขาย IPO ออกไปเป็นช่วงใบไม้ร่วงปีหน้า “เป็นอย่างน้อย”

โฆษก Line ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธรายงานนี้ โดยระบุว่า Line ไม่เคยวางกำหนดการออก IPO ที่แน่ชัด แต่ทั้งหมดทั้งมวล Line จะตัดสินใจดำเนินงานตามความเหมาะสมเพื่อให้บริษัทได้รับประโยชน์สูงสุด

หากการเลื่อนนี้เป็นจริง Line จะได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่เลื่อนการขาย IPO ซ้ำสอง ซึ่งหลังจากการเลื่อนในกันยายน 2014 ข่าวการขาย IPO ของ Line ก็กลับมาอีกครั้งในช่วงเมษายนที่ผ่านมา เนื่องจากซีอีโอใหม่ของ Line อย่าง Takeshi Idezawa เคยประกาศว่าการขาย IPO คือหนึ่งในภารกิจหลักของ Line

ปัจจุบัน Line มีคู่แข่งทั้ง WhatsApp, Facebook Messenger, Viber, WeChat และ Hike ซึ่งล้วนขวางทางเติบโตของ Line อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในจีนและอินเดีย Line ถูกวิจารณ์ว่าไม่สามารถเข้าถึงตลาดได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ Line ถูกเซ็นเซอร์โดยรัฐบาลจีน ขณะที่ชาวอินเดียนิยมใช้ Facebook และ WhatsApp มากกว่า เช่นเดียวกับผู้ใช้ในอเมริกาเหนือและยุโรปที่ยังไม่นิยมใช้ Line เท่าที่ควร

ตลาดใหญ่ของ Line จึงยังจำกัดเฉพาะญี่ปุ่น ไทย อินโดนีเซีย สเปน และไต้หวัน

ที่มา : TechinAsia