โดย นรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายขายและสื่อโฆษณา ได้เล่าให้เราฟังว่าการโฆษณาบน LINE นั้นมีหลายทางเลือก ทั้งเป็นออฟฟิเชียลแอคเคาท์ บัญชีทางการ สปอนเซอร์สติกเกอร์ สติกเกอร์แบรนด์ บน LINE TV และ LINE Today
ซึ่งก่อนหน้านี้ LINE เปิดให้เฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น แต่เพราะความต้องการของธุรกิจ นักการตลาด และ SME มีมากขึ้น ทำให้มีการนำเครื่องมือแบบ Self-Bidding มาใช้งานเพื่อรองรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และเริ่มต้นจากที่ Timeline ของ LINE เป็นส่วนแรก เพราะมียอดผู้ใช้ต่อวันเติบโตขึ้นจากปีที่แล้วถึง 20 เปอร์เซ็นต์ และมียอดวิวเฉลี่ยบน Timeline มากกว่า 1,000,000,000 เพจวิวต่อเดือน
เก็บข้อมูลจากการใช้งาน
แต่หลังจากเปิด “LINE Ads Platform” หรือ “LAP” ให้ทดลองใช้โฆษณาบน Timeline ในรูปแบบ self- bidding ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มียอดผู้ที่เห็นโฆษณาของธุรกิจและคลิกโฆษณา (CTR – Click To Rate) สูงสุดถึง 8.88 เปอร์เซ็นต์
ความน่าสนใจคือธุรกิจสามารถเลือกส่งแบบทั่วไป หรือส่งถึงผู้รับที่ต้องการได้ (target customer) ระบุตาม
- อายุ
- เพศ
- ความสนใจ
- สถานที่
- ระบบปฏิบัติการของสมาร์ทโฟน
- ทำการ re-targeting ได้ด้วย
โดยปกตินโยบายของ LINE จะไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัวจากการสนทนา เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับผู้ใช้งาน แต่จะเก็บแบบกว้างๆ ผ่านการเลือกซื้อสติกเกอร์ การรับชมคลิปวีดีโอบน LINE TV หรือการเลือกเข้าไปดูคอนเทนต์ประเภทต่างๆ บน LINE TODAY ที่สามารถบ่งบอกความสนใจที่แตกต่างกันได้
แต่การโฆษณาบน Feed Timeline จะไม่รบกวนผู้ใช้งานมากนัก เฉลี่ยที่ 20 คอนเทนต์/ครั้ง และหากผู้ใช้รู้สึกรำคาญก็สามารถกดซ่อนในฟีดของตัวเองได้ถ้าไม่อยากเห็น
Self Bidding คืออะไร
นอกจากนี้ ทางผู้บริหารได้บอกกับเราว่าการเป็นแพลตฟอร์มแบบ self- bidding ได้มีการเปิดให้ทดลองใช้งานเริ่มต้น bidding ที่ 1 บาท ซึ่งมีหลายๆ เอเจนซี่มา bidding แข่งขันกันมากมาย ซึ่งการแข่งขันนั้นจะเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ แบบไม่มีขีดจำกัด แม้ว่าการแข่งขันมีความเสี่ยง แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะปั่นราคาไปสูงเกินอัตรา เพราะมีเรื่องของการตั้งค่าระบบคัดกรองต่างๆ
ปัจจุบันการมีหลายๆ แบรนด์ใหญ่ที่มาทำการโฆษณากับ LINE แล้ว เช่น Apple, Ford และ Nike โดยทางไนกี้ลงโฆษณากับ LINE เพียงวันเดียวก็ต้องเอาลงเพราะสามารถขายสินค้าหมดได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
และนี่คืออีกกรณีศึกษาจากแบรนด์ My Whey ของคุณวู้ดดี้ ที่ได้ทำแคมเปญผ่านระบบ Line Ad เป็นเวลา 1 เดือน ก็สามารถเพิ่มยอดขายสินค้าได้ถึง 70% ลดต้นทุนการทำโฆษณาลง 20% และมีการคลิกเพิ่มขึ้นถึง 250% เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมากกับช่องทางโฆษณานี้
ส่วนแผนในอนาคต บริษัทต้องการขยายฐานการให้บริการไปยังกลุ่มธุรกิจ SME เพื่อทำโฆษณาบน LINE ได้มากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องมีการติดต่อผ่านทางเอเจนซี่ เพราะเป็นเหมือนด่านหน้าที่ช่วยคัดกรองสินค้าที่มาลงโฆษณากับทาง LINE เพื่อลดขั้นตอนในการตรวจสอบ รวมทั้งป้องกันความเสียหายของแบรนด์หากมีกรณีเกิดขึ้น
โดยขณะนี้ มีเอเจนซี่รายใหม่ที่ลงทะเบียนขอใช้งานระบบแล้ว 13 ราย คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 30-40 รายทั่วประเทศ ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงธุรกิจรายย่อยที่อยู่พื้นที่ต่างจังหวัดได้มากขึ้น แม้ในช่วงแรกระบบจะแทรคได้ในกรุงเทพและภูมิภาค
ของฟรีจาก LINE
และข่าวดีสำหรับเหล่าเอเจนซี่ที่ผ่านขั้นตอนต่างๆ แล้ว ทาง LINE ได้เปิดให้มาลงทะเบียนเพื่อรับ Gift Voucher จำนวน 50,000 ให้ไปทดลอง Bidding กับระบบนี้กันดู ถึงแม้ว่าตั้งแต่เปิดให้บริการมา 1 เดือนมีโฆษณาแล้ว 20-30 ราย แต่ก็ได้ตั้งเป้าหมายโฆษณาให้ถึง 3,000 รายในสิ้นปีนี้
ถือว่าเป็นหนึ่งทางเลือกในการโฆษณาสำหรับนักการตลาดที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ของ LINE ที่มีอยู่มากกว่า 42 ล้านคนในประเทศไทย