Site icon Thumbsup

Major ทุ่มจัดงาน CineAsia 2023 ดึงค่ายหนังทั่วโลก ผู้กำกับฮอลลีวูดร่วมงาน ดันซอฟต์เพาเวอร์ไทย

ปี 2023 นี้ถือเป็นปีทองของวงการภาพยนตร์ไทยเลยทีเดียว เมื่อมีหนังไทยหลายเรื่องที่ทำรายได้มากกว่าร้อยล้าน ไม่ว่าจะเป็น “สัปเหร่อ” กับรายได้ทะลุ 700 ล้านบาท หรือ “ธี่หยด” กับรายได้กว่า 400 ล้านบาท

ทำให้ปีนี้ถือเป็นปีแรกที่หนังไทยสามารถทำรายได้มากกว่าหนังจากต่างประเทศ ด้วยส่วนแบ่งเกิน 50% เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นโอกาสดีมากที่จะส่งต่อความสำเร็จนี้ออกไปสู่ต่างประเทศ และผลักดันหนังไทยในมิติของซอฟต์พาวเวอร์

ล่าสุดได้มีงานสำคัญของวงการภาพยนตร์โลกเกิดขึ้นที่เมืองไทย นั่นคือ CineAsia 2023 งานที่มีค่ายหนัง ดารา ผู้กำกับ และผู้ประกอบการธุรกิจภาพยนตร์จากทั่วโลก มารวมตัวกันที่ประเทศไทยกว่า 1,300 คน จาก 30 ประเทศ

ซึ่งนี่ก็คืองาน CineAsia 2023 ที่จัดขึ้นในวันที่ 4-7 ธันวาคมที่ผ่านมา ณ โรงภาพยนตร์ไอคอน ซีเนคอนิค และทรูไอคอน ฮอลล์ โดยมี “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป” เป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดงานครั้งนี้

ทีมงาน Thumbsup ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษกับคุณไอซ์ นรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาด เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ถึงที่มาที่ไปในการทุ่มผลักดันวงการภาพยนตร์ไทย และซอฟต์พาวเวอร์ในครั้งนี้

คุณนรุตม์ เจียรสนอง – รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาด เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป

CineAsia คืองานอะไร ?

คุณนรุตม์เผยว่า CineAsia เป็นงานลักษณะ B2B คือเป็นงานที่ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ ที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์มาเจอกัน เช่น
– เจ้าของสตูดิโอฮอลีวูด เช่น Disney, Warner Bros, Universal, Lionsgate และอีกมากมาย
– เจ้าของภาพยนตร์ทั่วเอเชีย
– ผู้สร้างหนัง
– เจ้าของเทคโนโลยีต่างๆ เช่น เครื่องฉาย, ระบบเสียง ไปจนถึงเครื่องทำป็อปคอร์น

ผู้ที่เข้ามาร่วมงาน ก็จะได้เห็นไลน์อัพรวมของหนังทั้งหมดในปี 2024 ซึ่งนอกจากจะมีการเจรจาซื้อหนังไปฉายแล้ว ยังร่วมวางแผนการตลาดร่วมกัน พูดคุยเรื่องเทคโยโลยี นวัตกรรมต่างๆ ร่วมกัน

เรียกว่าเป็นงานที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภายนตร์ในเอเชียและทั่วโลกเลยทีเดียว

ซึ่งทางเมเจอร์เองอยากมีส่วนช่วยผลักดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในไทย รวมถึงซอฟต์พาวเวอร์ด้วย จึงได้ดึงงาน CineAsia มาจัดที่ไทย โดยปีนี้เป็นปีที่ 2 และจะจัดในปีหน้าต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

โอกาสที่เมเจอร์ฯ มองเห็นต่อภาพยนตร์ไทย และซอฟต์เพาเวอร์

เทรนด์นึงที่น่าสนใจ คือในช่วงโควิด จะพบว่าหนังที่มาจากในประเทศเติบโตขึ้นมาก เนื่องจากอุปสรรคในการถ่ายทำต่างๆ หนังต่างประเทศมีจำนวนน้อยลง

จริงๆ ต้องบอกว่าในไทยมีโลคอลคอนเทนต์เยอะและแข็งแรงอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น เรื่องสัปเร่อ หรือธี่หยด ก็ถือว่าเป็นตัวอย่างความสำเร็จของหนังไทยในปีนี้

หลายท่านไม่ทราบว่ามีหนังไทยกว่า 20 เรื่องก็ได้มีโอกาสออกไปต่างประเทศ ซึ่งงาน CineAsia จะช่วยให้หนังไทยได้มีโอกาสในตลาดโลกมากขึ้น เราอยากให้คนในแวดวงธุรกิจภาพยนตร์ไม่ใช่แค่มาเจอหนังไทยดีๆ แต่รวมไปถึงได้มาเห็นเมืองไทย วัฒนธรรมไทย เห็นสถานที่ถ่ายทำ ซึ่งจะเป็นโอกาสอีกมากในอนาคต

เช่นปีนี้เราเปิดฉาย “ธี่หยด” ในโรง IMAX เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้เห็นศักยภาพของหนังไทยมากขึ้น เชื่อว่าเราจะได้เห็นหนังไทยไปฉายในต่างประเทศเพิ่มเติมหลังจากนี้

ไฮไลต์ของงาน CineAsia 2023 ในครั้งนี้ที่ประเทศไทย

คุณนรุตม์เผยว่างาน CineAsia ในปีนี้ มีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 1,500 คน มากกว่าปีที่ผ่านมาที่มี 1,000 คน ซึ่งถือว่าเติบโตสูงมาก

รวมถึงปีนี้มีจำนวนภาพยนตร์จากทุกค่ายที่เข้าร่วมมากกว่า 50 เรื่อง แต่ละค่ายก็จะมีหมัดเด็ดมากมาย เช่น ตัวอย่างพิเศษของหนัง หรือเบื้องหลังต่างๆ ฟุตเทจที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มาให้เจ้าของโรงภาพยนตร์เกิดความมั่นใจ

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ปีนี้เรามีหนังโลคอลจากประเทศต่างๆ มากขึ้น เช่น หนังญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีหนังโลคอลแข็งแรงมาก

เมเจอร์เองก็มีการนำหนังจากประเทศเหล่านี้มาฉายมากขึ้นเพื่อสร้างความหลากหลาย รวมถึงหนังไทยเองก็ได้ไปฉายประเทศเหล่านี้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

พร้อมดันซอฟต์เพาเวอร์ไทย สู่ชาวโลก

แน่นอนว่าในงาน CineAsia เราได้มีโอกาสต้อนรับโปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ ผู้สร้าง ที่มากับเจ้าของสตูดิโอต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งเป็นข้อดีมากๆ ที่เราสามารถนำเสนอโลเคชันสวยๆ รวมถึงวัฒนธรรมไทยออกไป

ซึ่งส่วนนี้มีความสำคัญมาก เช่น หนังเรื่อง Lost in Thailand ก็สร้างปรากฏการณ์ที่ชาวจีนมาเที่ยวไทยกันเยอะมาก หรือหนัง The Creator หนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูด ที่ถ่ายทำในจันทบุรี ประเทศไทย

ทางเมเจอร์เชื่อว่างาน CineAsia จะมีส่วนช่วยผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ไทย ไปสู่สายตาชาวโลกแน่นอน

เมเจอร์กับการผลักดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย และให้ความสำคัญกับ ESG

ทางเมเจอร์ได้ให้ความสำคัญกับการลดการใช้พลาสติกอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นถังป็อปคอร์น แก้วน้ำ หรือแพ็คเกจต่างๆ ทางเมเจอร์ได้นำพลาสติกเหล่านั้นมารีไซเคิล

จนเกิดเป็นเสื้อโปโลของพนักงานเมเจอร์ ที่ทำมาจากขวดพลาสติก เสื้อ 1 ตัว จะทำมาจากขวดพลาสติก 12 ขวด

หรือตัวอย่างที่ดีมากคือจอภาพยนตร์ ที่ปกติจะต้องเปลี่ยนทุก 10 ปี เราเลยนำผ้าใบเหล่านั้นมาตัดเป็นกระเป๋าแทน ซึ่งล่าสุดก็ได้มีการทำรุ่นที่ 2 ออกมาแล้ว ซึ่งเป็นไอเดียสนุกๆ และช่วยลดขยะที่เกิดจากโรงภาพยนตร์ให้น้อยที่สุดอีกด้วย

รวมถึงเรื่องทางสังคม เรามี Major Care ที่เปิดโอกาสให้ผู้ด้อยโอกาส ผู้ใหญ่สูงอายุ น้องๆ ต่างจังหวัดด้อยโอกาส มาดูหนังฟรี มีโครงการไปรับถึงโรงเรียนเลย แล้วก็พามาที่โรงหนังทั้ง 77 จังหวัด เพราะเราเชื่อว่าความบันเทิงเป็นเรื่องใกล้ตัว และสร้างความรู้เกี่ยวกับภาพยนตร์ให้นักเรียนนักศึกษาได้

ในส่วนของภาพยนตร์ไทย ปีนี้ถือเป็นปีแรกที่หนังไทยมีส่วนแบ่งในตลาดมากกว่า 50% ซึ่งเป็นข่าวดีมากๆ ในปีหน้าทางเมเจอร์ก็มีแผนที่จะสร้างหนังไทยมากกว่า 20 เรื่อง

ซึ่งนอกจากจะเป็นการผลักดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยแล้ว ก็เป็นโอกาสของหนังไทยไปสู่ต่างประเทศอีกด้วย

อีกเรื่องคือจากกระแสในปีนี้ เราจะเห็นได้ว่าผู้คนเริ่มกลับมาดูหนังในโรงภาพยนตร์เป็นปกติแล้ว เราอยากให้ทุกคนได้รู้สึกว่าโรงภาพยนตร์เป็นความบันเทิงที่ราคาไม่ได้สูงมาก

สาขาต่างจังหวัดของเมเจอร์อยู่มีกว่า 100 สาขา และราคาตั๋วเริ่มต้นอยู่ที่ 69 บาท ในราคานักศึกษา และผู้ใหญ่ราคา 99 บาท ซึ่งเป็นราคาที่จับต้องได้ ซึ่งนี่ก็เป็นส่วนสำคัญมากๆ ในการผลักดันภาพยนตร์ไทย

จะเห็นได้ว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ที่ไม่ใช่แค่ทำธุรกิจภาพยนตร์ในไทย แต่มองไปถึงการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ไทยไปสู่ประตูโลก ผ่านงาน CineAsia ในครั้งนี้

เชื่อว่านี่จะเป็นโอกาสดีของประเทศไทย และวงการภาพยนตร์ไทยครั้งใหญ่ รวมถึงทางเมเจอร์ได้ประกาศว่างาน CineAsia 2024 จะกลับมาจัดที่โรงภาพยนตร์ไอคอน ซีเนคอนิค และ ทรูไอคอน ฮอลล์อีกครั้งในปีหน้าอย่างแน่นอน