มาแรงแซงโค้งกว่าเรื่องดราม่าของ 3 สาวเจนี่-วุ้นเส้น-โยเกิร์ต ที่ไปเดินพรมแดงที่คานส์ จนเกิดประเด็นเรื่องชุดไม่ปังกับแฮชแท็ก #เกิดที่ไทยไปตายที่คานส์ แต่ก็ยังไม่สู้แฮชแท็กอันดับ 1 ของ #Masterchefthailand ที่เจอกระแสเนรคุณของหนึ่งผู้เข้าแข่งขันเวที MasterChefThailand เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังตัวเต็งอย่าง จ๋า ที่เป็นผู้ชนะในกล่องปริศนาหรือ Mystery Box ต้องกลับบ้านไป เพราะแพ้เรื่องความคิดสร้างสรรค์ในเมนูอาหารอิตาเลียนที่ตัวเองเลือกพร้อมกับแบงค์ที่ทำอาหารไม่สุก
แต่งานนี้สิ่งที่ดราม่าไม่ใช่ความพ่ายแพ้ของจ๋าและแบงค์ แต่กลับกลายเป็นเรื่องของ เฟิร์ส ผู้เข้าแข่งขันอีกคนหนึ่งที่บอกว่าตัวเองเป็นเด็กขายลูกช้ิน และเรียนรู้การทำอาหารจาก Youtube กลับเป็นคนที่มีฝีมือดี จนกลายเป็นท็อป 3 ของการแข่งขัน และเมื่อชาวเน็ตถูกขุดคุ้ยประวัติว่าในอดีตเขาเคยเป็นผู้ช่วยเชฟเมย์ เจ้าของร้าน Monkey’s Kitchen ที่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขัน Top Chef Thailand ทางช่อง GMM25 เมื่อปีที่ผ่านมา
โดยเมื่อค้นหาใน Pantip ก็เจอกระทู้เกี่ยวกับเชฟเมย์และเฟิร์สเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันในอดีต ทำให้มีคนพูดถึงการฝึกฝีมือของเขาอาจไม่ได้มาจากการขวนขวายหาความรู้เองอย่างที่รายการพยายามที่จะสื่อออกมา แต่เป็นการลอกเลียนแบบมา แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้กระทบกับยอดผู้รับชมสดผ่าน Facebook Live ของรายการ ที่มีตัวเลขแตะ 4.4 หมื่น ในช่วงแรกของรายการ เรียกได้ว่ากระแสดีมากไม่แพ้ซีซั่นแรก
ต้องติดตามยอดรับชมรายการในสัปดาห์หน้าว่า จะมีกระแสให้คนพูดถึงได้มากน้อยเพียงใด แต่สิ่งที่ได้แน่นอนคือยอดโฆษณาที่ครั้งหน้าตัวเลขอาจจะเยอะขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่นักการตลาดควรทำคือมองหากระแสที่อาจสร้างผลลัพท์ที่ดีจากรายการนี้ เพราะเรื่องดราม่ามักมาพร้อมกับเรตติ้งรายการที่ดี ซึ่งผู้ชมรายการนี้ ส่วนใหญ่ไม่ได้รับชมเพื่อกล่าวร้ายหรือจับผิดผู้เข้าแข่งขัน แต่ลุ้นไปกับการทำอาหารที่กดดันและสนุกสนาน และโฟกัสที่เมนูอาหารว่าจะมีโจทย์หลักที่ใช้แข่งขันคืออะไร ส่วนประกอบน่าสนใจแค่ไหนมากกว่า จึงอาจจะเป็นโอกาสในการเลือกซื้อหรือใช้สินค้าตามผู้เข้าแข่งขันก็เป็นได้