อสมท.ออกหนังสือชี้แจงเกี่ยวกับกรณีการปรับลดพนักงานเพิ่มอีก 300 อัตรา หลังจากที่เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาปรับลดไปแล้วกว่า 700 อัตรา ซึ่งการปรับลดในครั้งนี้ เป็นการเปิดความสมัครใจของพนักงานในเครือ และมุ่งหวังว่าหลังจากปรับลดจำนวนบุคลากรในครั้งนี้แล้ว บริษัทจะสามารถเดินหน้ากลยุทธ์ใหม่ได้อย่างแข็งแรง
บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เริ่มโครงการร่วมใจจากองค์กร เพื่อปรับลดจำนวนบุคลากรให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจในอนาคตมุ่งปรับรูปแบบธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ใหม่จากธุรกิจเดิม รวมถึงสร้างแหล่งรายได้ใหม่เพื่อการเติบโตให้สิทธิผู้เข้าร่วมโครงการฯ สูงสุด 35.33 เท่าของเงินเดือน ย้ำไม่ใช่การปลดพนักงาน แต่เป็นความสมัครใจของผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเข้าร่วมโครงการฯ
นายสิโรตม์ รัตนามหัทธนะ กรรมการ และ รักษาการในตำแหน่ง กก.ผอ.ใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ภาพรวมของอุตสาหกรรมสื่อในปัจจุบัน โดยเฉพาะสื่อดั้งเดิมมีอัตราการเติบโตของรายได้ที่ลดน้อยลง ซึ่งเป็นผลมาจาก Disruptive technology และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาใช้สื่อออนไลน์มากขึ้น ทำให้รายได้จากธุรกิจโทรทัศน์และวิทยุของ อสมท ลดลง ซึ่งส่งผลให้ อสมท เริ่มมีผลการดำเนินงานขาดทุนตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา
ในปีนี้ อสมท จึงได้เริ่มดำเนินโครงการร่วมใจจากองค์กร (Mutual Separation Plan:MSP) ประจำปี 2563 โดยที่ประชุมคณะกรรมการ บมจ.อสมท ครั้งที่ 13/2562 เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 ได้มีมติเห็นชอบให้ อสมท ดำเนินโครงการดังกล่าวตามความสมัครใจและความประสงค์ร่วมกันของพนักงาน และ บมจ.อสมทเพื่อปรับลดจำนวนบุคลากรให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจในอนาคตและสถานะทางการเงินขององค์กร
โดยพนักงานที่มีความประสงค์ที่จะเข้าร่วมโครงการร่วมใจจากองค์กร ต้องเป็นพนักงานที่มีอายุระหว่าง 45 ปีบริบูรณ์ ถึง 59 ปีบริบูรณ์ มีอายุงานตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป และไม่อยู่ระหว่างถูกสอบสวนทางวินัยร้ายแรง สามารถยื่นใบสมัครเพื่อเข้าร่วมโครงการฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม – 22 ตุลาคม 2563 และจะพ้นจากการเป็นพนักงาน อสมท ในวันที่ 1 มกราคม 2564
สิทธิประโยชน์ที่ผู้ที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับ คือ 1. ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษได้รับตามจำนวนปีที่ปฏิบัติงาน แต่สูงสุดไม่เกิน 22 เท่าของเงินเดือนสุดท้าย 2.เงินชดเชยในการทำงานตามตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ตามระยะเวลาการปฏิบัติงาน (ประมาณ 10-13.33 เท่าของเงินเดือน เดือนสุดท้าย) 3.เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น
“ขณะนี้มีพนักงานยื่นความประสงค์เข้าร่วมโครงการกว่า 300 คน โดยหลังจากนี้ อสมท จะคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป และขอยืนยันว่าโครงการดังกล่าว ไม่ใช่การปลดพนักงาน แต่เป็นความสมัครใจของพนักงานที่มีความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ และมีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้
การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นไปตามมติของคณะกรรมการ บมจ.อสมท ไม่ใช่มติของกระทรวงการคลังตามที่ปรากฎในข่าวแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามหากมองในระยะยาว อสมท มองว่าโครงการนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้เข้าร่วมโครงการฯ และบมจ.อสมท โดยผู้เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับสิทธิประโยชน์ที่สูง ในขณะเดียวกันองค์กรจะสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร ได้อย่างมีนัยสำคัญในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลต่อการลดการขาดทุน”
ภายหลังการดำเนินโครงการร่วมใจจากองค์กรเสร็จสิ้นในปลายปี 2563 อสมท. ได้เตรียมปรับโครงสร้างองค์กรและกระบวนการทำงานให้มีความคล่องตัว สามารถรองรับการดำเนินธุรกิจในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทิศทางการดำเนินงานของ อสมท. ในปี 2564 จะมุ่งปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเดิม เพื่อรักษารายได้และเรตติ้ง และสร้างแหล่งรายได้ใหม่เพื่อการเติบโต เช่น การบริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น ที่ดินย่านรัชดา-พระราม 9 รวมทั้งเดินหน้าพัฒนาโครงการธุรกิจดิจิทัลให้มีผลกำไร