Site icon Thumbsup

ใครว่าติดหรู เฟลชแมนฯ เผยมิลเลนเนียลไทยยุค 4.0 ไม่เน้นแบรนด์

แม้หลายคนจะมองว่าคนไทยรุ่นใหม่เป็นคนติดแบรนด์ ติดหรู ใช้ชีวิตราคาแพงและต้องการเงินเดือนสูง แต่ผลสำรวจจาก เฟลชแมนฮิลลาร์ด ประเทศไทย เอเจนซี่ด้านประชาสัมพันธ์และดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งระดับโลก ได้เปิดเผยผลสำรวจล่าสุดด้านความเชื่อ ทัศนคติ และมุมมองต่อสังคม ที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตและการบริโภคของมิลเลนเนียลไทยยุค 4.0 ที่จะทำให้คุณได้เห็นว่า คนหนุ่มสาวยุคใหม่มีนิยามของความสำเร็จและความสุขที่ต่างออกไป แสวงหาความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย และไม่ยึดติดกับแบรนด์

ผลสำรวจ มิลเลนเนียลไทยความเชื่อ ทัศนคติ และมุมมองต่อสังคมเป็นการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างคนไทย อายุ 25 – 37 ปี ทั่วประเทศจำนวน 500 คน โดยเป็นความร่วมมือระหว่างเฟลชแมนฮิลลาร์ด ประเทศไทยกับทีม Global Intelligence ซึ่งเป็นทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการทำวิจัยศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับอินไซต์ของตลาดและผู้บริโภคของเฟลชแมนฮิลลาร์ด สหรัฐอเมริกา

หลายเรื่องที่ผู้ตอบแบบสอบถามระบุเกี่ยวกับเรื่องเงินทอง อย่างเช่น 70% ยอมรับว่าเงินคือตัวชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจนที่สุด และอีกกว่า 87% ยังเผยว่ารู้สึกดีที่ได้ใช้จ่ายเพื่อปรนเปรอตนเอง

แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ พวกเขากลับบอกว่าแม้ว่า เงิน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้ แต่พวกเขาก็มีความชัดเจนกับความต้องการของตัวเองมากพอที่จะไม่มองว่าเงินสำคัญมากไปกว่าความสุขในชีวิต

นอกจากนี้ ยังให้คำนิยามของความสุขว่า คือ การมีสุขภาพที่ดี (67%) มีเวลาให้กับตัวเองและความมีอิสระในการใช้ชีวิต (67%) ขณะที่สัดส่วนของมนุษย์มิลเลนเนียลที่ให้ความสำคัญกับการออมเงินมีประมาณ 55%

ยอมเปย์เท่าไหร่ก็ได้ หากแบรนด์เข้าใจตัวตนของฉัน

พวกเขาให้ความสำคัญกับการแสดงความเป็นตัวตนที่ชัดเจนของตนเอง ชาวมิลเลนเนียล 79% จึงพร้อมที่จะจ่ายมากกว่าให้กับสินค้าและบริการ หากแบรนด์นั้นๆ สามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะตัวของพวกเขาได้

โดยบรรดาแบรนด์สินค้าห้าอันดับแรกที่สามารถสร้างโอกาสได้ดีในการสร้าง personalized brand แบบเฉพาะเจาะจง ได้แก่สินค้าในกลุ่ม

  1. อาหาร
  2. ผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม
  3. สินค้ากลุ่มไลฟ์สไตล์
  4. ธนาคาร
  5. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

เอกเทศ เอกเทรนด์

แม้จะชอบแบรนด์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะตน  ทว่ามิลเลนเนียลไทยกลับมองว่าความเป็นปัจเจกชนของพวกเขานั้น ไม่สามารถตอบสนองได้ด้วยแบรนด์ใดเพียงแบรนด์เดียว

ดังนั้น 84%ของหนุ่มสาวในยุคนี้ใช้แฟชั่นเป็นเครื่องแสดงตัวตน  ทำให้พวกเขา มองหากิจกรรม ดนตรี และเสื้อผ้า ที่แตกต่างไปจากกระแสนิยม

ชอีกหนึ่งข้อบ่งชี้ที่แสดงความเป็นเอกเทศมากขึ้นของคนยุคใหม่ก็ คือ  ชาวมิลเลนเนียลอยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองมากถึง 86% แม้จะชอบติดต่อกับเพื่อนผ่านโซเชียลมีเดียอยู่ตลอดเวลา แต่พวกเขากลับให้น้ำหนักความสำคัญ กับการออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงเพียงแค่ 21%

ภาพลักษณ์บนโลกออนไลน์สำคัญกว่าโลกแห่งความจริง

แม้พวกเขาจะบอกว่าใช้เวลากับโทรศัพท์มือถือมากเกินไป แต่ชาวมิลเลนเนียลก็ยอมรับว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และวิธีการแสดงความเป็นตัวตนบนโลกออนไลน์ มากกว่าโลกในความเป็นจริงถึง 56% 

โดยราว 65% กล่าวว่าพวกเขาใช้เวลาไปกับการดูแลสุขภาพของตนเองเพื่อให้ดูดีขึ้นบนโลกโซเชียล

ขณะที่ 56% เชื่อว่าโลก  โซเชียล และแอพต่างๆ เช่น ทินเดอร์ (Tinder) คือสื่อกลางที่จะทำพวกเขาได้เจอกับความสัมพันธ์และมิตรภาพที่ดี

คนยุคใหม่มั่นใจกับอนาคตของประเทศ

ขณะที่ชาวมิลเลนเนียลแสวงหาความเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ให้เกิดขึ้นในสังคม อาทิ อิสรภาพในการใช้ชีวิตควบคู่กับการทำงานผ่านเทคโนโลยีในทุกสถานที่ทั่วโลก  

ความเท่าเทียมในสังคมผ่านมิติความหลากหลายทางเพศ ศาสนา เชื้อชาติ และวัฒนธรรม  การเมืองที่มุ่งตอบสนองต่อประชาชนส่วนใหญ่ พวกเขาก็ยังเชื่อมั่นกับอนาคตของประเทศไทยว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางทีดีขึ้น

โดยผู้ชายยุคมิลเลนเนียล (42%) มีความมั่นใจในอนาคตของประเทศมากกว่าผู้หญิงชาวมิลเลนเนียล (28%)

มัดใจชาวมิลเลนเนียลให้อยู่หมัด

 แม้ว่า ประชากรกลุ่มมิลเลนเนียลที่ทำการสำรวจนั้น อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 25-37 ปี ซึ่งเป็นคนวัยทำงานส่วนใหญ่ และเป็นกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้แบรนด์ต่างๆ ให้ความสำคัญกับคนกลุ่มนี้อย่างมาก

ต้องยอมรับว่า ชาวมิลเลนเนียลเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีความซับซ้อน พวกเขามีความต้องการและทัศนคติที่อยู่ตรงกลางระหว่างสองขั้ว ในขณะที่เป็นผู้บริโภคที่กล้าใช้จ่ายกับสินค้าและการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการ แต่กลับคำนึงถึงปัจจัยด้านราคาเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน

การที่ผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลมีมุมมองด้านการใช้ชีวิตและการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากคนยุคก่อน ทำให้แบรนด์ต่างๆ ต้องเร่งทำความเข้าใจ และปรับตัวพื่อตอบสนองต่อความต้องการของคนยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็น การสร้างสรรค์สินค้าและบริการ รวมไปถึง การนำเสนอโปรแกรมสมาชิกที่ตรงใจผู้บริโภค

นอกจากนี้การสร้างแบรนด์ที่มีความหมายต่อตัวตนและความเชื่อ จะซื้อใจพวกเขาได้มากกว่าการสร้างแบรนด์ที่ตอกย้ำสถานะทางสังคม นอกจากนี้การที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีความฉลาดเลือกและช่างค้นหา ความจริงใจและโปร่งใสของแบรนด์ รวมไปถึงการใช้อินฟลูเอนเซอร์ที่สะท้อนความเป็นตัวตนของพวกเขา จะทำให้เข้าถึงชาวมิลเลนเนียลได้มากกว่า