หลังไตรมาสที่ 1 ของปี 2014 ผ่านไป ทาง Mindshare เอเยนซีการตลาดผู้ให้บริกาการวางแผนและซื้อสื่อ ได้เผยถึงตัวเลข,เทรนด์ และสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 -4 ของปี 2014 นี้
โดยภายในงานสิ่งที่ทาง Mindshare พูดถึงเป็นหลักนั้นคือการสื่อที่หลากหลายมากขึ้นของนักการตลาดปัจจุบัน ที่จากเดิมนั้นมีเพียงสื่อหลักแค่โฆษณาผ่านรายการโทรทัศน์ วิทยุ หรือสิ่งพิมพ์ แต่ปัจจุบันนั้นมีทั้งสื่อออนไลน์ และสื่อดิจิทัลอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างหลากหลาย และสิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้นั้นคือ Digital TV
โดย คุณปัทมวรรณ สถาพร กรรมการผู้จัดการ Mindshare ได้กล่าวถึงปัจจัยต่างๆ ที่าอาจส่งผลกระทบต่อความเคิบโตของธุรกิจการโฆษณาในประเทศไทยในปีนี้ว่า ส่วนหนึ่งอาจมาจากการชะลอตัวของเศรษกิจ แต่อย่างไรก็ตามภาพรวมของอุตสาหกรรมโฆษณาเมื่อไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมานั้นก็ยังมีความเติบโตที่ 1.8% โดยการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์นั้นดูเหมือนจะเป็นช่องทางการโฆษณาที่เติบโตสวนกระแสการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยยังคงมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูงอยู่ที่ 34%
นอกจากปัจจัยเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจแล้ว คุณปัทมวรรณ ยังได้กล่าวถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในยุคปัจจุบัน อุปกรณ์หรือสื่อประเภท “Screen” ต่างๆ ไม่ว่าจะเป้นคอมพิวเตอร์ โทรทัสน์ สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตนั้นต่างก็เริ่มมีบทบาทในชีวิตประจำวันของพวกเขามากขึ้น ส่งผลให้นักการตลาดต้องหันมาใส่ใจการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดแบบ Multi-Screen กันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้รับสารอีกต่อไป แต่ก็ยังเป็นผู้บอกต่อหรือผู้เผยแพร่ นักการตลาดจะต้องรู้จักการบริการสื่อทั้งประเภท Owned Media, Earned Media และ Paid Media ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อแบรนด์นั้นๆ
ซึ่ง Mindshare ได้มองว่าสื่อที่จะมีบทบาทเด่นชัดที่สุดในปี 2013 นี้คือสมาร์ทโฟน และโทรทัศน์ (ฟรีทีวี เคเบิ้ลและดิจิทัลทีวี) แต่สื่ออื่นๆ ก็ยังมีอัตราการเติบโตและมีการปรับเปลี่ยนบ้างเหมือนกัน อย่างเช่น หนังสือพิมพ์แม้จะเป็นสื่อเก่า แต่ทว่าด้วยกระแสการเมืองในปัจจุบันส่งผลให้ประชาชนส่วนมากสนใจสถานการณ์บ้านเมือง ทำให้สื่อหนังสือพิมพ์ยังคงโตอยู่ได้ ที่ 4%
ส่วนสื่ออื่นๆ ที่มีการปรับเปลี่ยนนั้นได้แก่ สื่อประเภท Outdoor ที่เริ่มเปลี่ยนจากการเป็นป้ายกลางแจ้งนิ่งๆ ให้มีความเป็นสื่อ interactive มากขึ้น ขณะเดียวกันสื่อที่ปรากฏบนรถโดยสารสาธารณะนั้นเองก็เริ่มมีการขยายตัวออกจากกรุงเทพไปสู่จังหวัดอื่นๆ บ้างแล้ว
และที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยนั่นคือ Digital TV ที่คาดว่าจะเปิดตัวครบทุกช่องในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ และคาดว่าจะมีประชาชนผู้รับชม Digital TV มากขึ้นถึง 15 ล้านครัวเรือนภายในปีนี้ หรือราวๆ 10% ของผู้ชมรายการโทรทัศน์ทั้งหมด และด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้เม็ดเงินการลงทุนเพื่อการโฆษณาผ่านโทรทัศน์แบบ Free TV กระจายตัวไปสู่ช่องรายการโทรัทศน์อื่นๆ ที่มีมากถึง 24 ช่องของ Digital TV
และเพราะการมีช่องทีมากขึ้นนี้เองทำให้ผู้ผลิตรายการนั้นจำเป็นต้องผลิตเนื้อหารายการที่มีคุณภาพมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามแบรนด์ที่จะทำการตลาดผ่าน Digital TV นั้นจำเป็นต้องพิจารณาเรื่อง ความคุ้มค่าในการลงทุนและ คุณภาพของเนื้อหา และแบรนด์ต่างๆ คุณจะวัดคุณภาพรายการจาก Awareness และ Engagement ที่จะนำไปสู่ Owned และ Earned Media จากพฤติกรรมและอารมณ์จากการรับชมรายการโทรทัศน์ นอกจากนี้คุณปัทมวรรณยังได้เผยอีกว่า แม้จะมีสื่อ Digital TV เกิดขึ้น แต่คาดว่าเม็ดเงินรวมจากการโฆษณาบนสื่อโทรทัศน์นั้นจะยังเท่าเดิม แต่จะมีการถ่ายโอนจาก Free TV และ Cable TV มาที่ Digital TV ที่ 10% เท่านั้น
นอกจากนี้ทาง Mindshare ยังได้กล่าวถึงเทรนด์ที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคในปีนี้อีกว่าผู้บริโภคนั้นต้องการความรวดเร็วมากขึ้น และมีความอดทนที่ต่ำลง การเข้าถึงเนื้อหาต่างๆ ของแบรนด์ที่ต้องใช้ความพยายามมาก หรือใช้เวลาพวกเขาจะไม่รอ
อีกทั้งปัจจุบันรูปแบบของการรับข้อมูลของผู้บริโภคนั้นมีความหลากหลายมากขึ้นการทำให้สื่อต่างๆ อย่างเช่น วิดีโอ ภาพ สติ๊กเกอร์ หรือ infographic ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันนั้นจึงเป้นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ผู้บริโภคนั้นเองก็เริ่มมีความต้องการต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้นอีกด้วย