Site icon Thumbsup

ไมเนอร์ ฟู้ด กับการปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อการอยู่รอดในยุคโควิด-19

ในช่วงที่ธุรกิจต้องหยุดชะงักจากภาวะวิกฤตโควิด-19 กลุ่มธุรกิจอาหารเรียกว่าประสบปัญหาเยอะที่สุด แต่ก็ฟื้นกลับมาได้เร็วที่สุด เพราะการใช้ชีวิตของคน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องบริโภคของกินของใช้กันอยู่แล้ว

กลุ่มไมเนอร์ ฟู้ด เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยแบรนด์ร้านอาหารที่เป็นที่รู้จักได้แก่ The Pizza Company, Swensen’s, Sizzler, The Coffee Club, Dairy Queen, Burger King และ Bonchon รวมมากกว่า 2,200 ร้านใน 26 ประเทศ ซึ่งตอบโจทย์ลูกค้าหลากหลายประเภทได้อย่างครอบคลุและนี่เป็นการแถลงข่าวเกี่ยวกับแนวทางการปรับตัวในช่วงครึ่งปีหลังที่น่าสนใจ

ดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT และรักษาการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไมเนอร์ ฟู้ด กล่าวว่า “ด้วยแกนหลักธุรกิจของไมเนอร์แบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ โรงแรม ร้านอาหารและไลฟ์สไตล์ เมื่อเจอปัญหาวิกฤตโควิด ก็ส่งผลกระทบกับธุรกิจทั่วโลก แต่โชคดีที่เราปรับตัวไว เพราะได้เรียนรู้จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในจีนมาแล้วว่าต้องเดินให้เร็ว เพื่อที่จะพยุงธุรกิจและพนักงานให้อยู่รอด

โดยสิ่งที่เราจะเดินหน้าปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัลนั้น เน้นไปที่ 3 เรื่องหลัก คือ ปรับโฉมแบรนด์ให้ดึงดูดใจผู้บริโภคยุคใหม่, ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้ไว และขยายธุรกิจใหม่ๆ ไปยังต่างประเทศ โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทจะมาจากธุรกิจอาหารในไทย 70% ต่างประเทศ 30%

แนวทางที่จะทำในปีนี้

คุณประพัฒน์ เสียงจันทร์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากปัญหาโควิด-19 ไมเนอร์ ฟู้ด มีการพัฒนาแอปพลิเคชั่นสำหรับเดลิเวอรี่ (แอป 1112) และก็ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่เป็นฟู้ดเดลิเวอรี่ โดยมีการแบ่งสัดส่วนรายได้ในกลุ่มเดลิเวอรี่ที่ทางแบรนด์มี 65% จากแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ 35% แม้จะไม่ใช่ตัวเลขที่เป็นไปตามเป้าแต่ก็ช่วยพยุงรายได้รวมให้ดีขึ้น ซึ่งช่องทางเดลิเวอรี่ทำให้บริษัทมียอดการเติบโตเพิ่มขึ้น 3 เท่าเมื่อเทียบกับสถานการณ์ปกติ

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาเมนูใหม่ๆ ให้สามารถเดลิเวอรี่และยังคงสภาพเหมือนเพิ่งออกจากครัวจนถึงมือลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น Swensen’s, Sizzler, Burger King, Bon Chon เพราะต้องการเติมเต็มความต้องการอาหารของกลุ่ม Mid Market รวมทั้งเมนูของร้านอาหารเหล่านี้ ก็ยังคงเป็นที่นึกถึงตลอด

พัฒนา Cloud Kitchen เพื่อเสิร์ฟเมนูสดใหม่ โดยเฉพาะ Bon Chon และ Sizzler ที่ลูกค้าชอบสั่งกลับไปทานที่บ้าน และช่วงโควิด บริษัทเจอปัญหาว่าต้องรอคิวนานในการจัดส่งและสภาพเมนูไม่สดใหม่ตามความต้องการจึงจะเพิ่มจุดทำคลาวด์คิทเช่นสำหรับย่านชุมชน เพื่อให้เสิร์ฟอาหารได้เร็วขึ้น

สิ่งที่เราจะทำคือ เพิ่มภาพการจดจำของแบรนด์ให้มากขึ้น โดยอยากให้ผู้บริโภคที่อยากทานอาหารอะไรก็คิดถึงแบรนด์ของเราก่อนและกดสั่งซื้อจากแบรนด์เราก่อน และเราจะมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับการสั่งซื้อผ่านโปรโมชั่นของเราเท่านั้น เป็นการยกระดับการให้บริการ ทั้งเรื่องความสะอาด ปลอดภัย สดอร่อยและรักษ์โลก

นอกจากนี้ ยังเตรียมพัฒนา เมนูอาหารใหม่ๆ ที่เข้ากับรสนิยมของคนไทยมากขึ้น เช่น มะม่วง มะพร้าวอ่อน ทานคู่กับไอศกรีม หรือแคมเปญใหม่ๆ และยังมีการทำโมเดลร้านแบบเป็นคีออส ให้คนเดินทางสามารถหาซื้อสินค้ากลับไปทานที่บ้านหรือที่ทำงานได้ โดยจะมีซิซซ์เลอร์ ทูโก และเตรียมผลักดันเดอะ คอฟฟี่ คลับให้เป็นบริการแกร็บแอนด์โกเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เพื่อยกระดับมาตรฐานสุขอนามัยกับความปลอดภัยของทั้งลูกค้าและพนักงานภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ไมเนอร์ ฟู้ดจึงได้ตั้งโปรเจค “Business Beyond COVID” ด้วยอบรมพนักงานด้านการให้บริการที่สะอาดอย่างเข้มข้นขึ้น โดยให้คำนึงถึงความปลอดภัยและสุขอนามัยเป็นหลัก ผ่านแคมเปญรักษาความปลอดภัยของอาหาร ได้แก่ “Zero Touch Delivery” “Safety Seal” และ “Easy Pick Up” ของเดอะ พิซซ่า คอมปะนี หรือการจ่ายไร้เงินสดเมื่อสั่งอาหารในร้านเบอร์เกอร์ คิง

นอกจากนั้น ธุรกิจในเครือมีการใช้เครื่องทำความสะอาด และน้ำยาทำความสะอาด จากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขอนามัย อีโค่แล็บ (ECOLAB) กับไดเวอร์ซี่ (Diversey) ซึ่งต่างเป็นเครื่องมือทำความสะอาดคุณภาพสูงที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อใช้ในธุรกิจบริการอาหาร การแปรรูปอาหาร โรงแรมและงานดูแลสุขภาพ นายประพัฒน์ ทิ้งท้าย